เขียนโดย Pim Nattanee Sukpreedee นักจิตวิทยาพัฒนาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพเด็กวัย 0-6 ปี www.pimandchildren.com
มีพ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยที่ยังคิดว่าการตีเป็นเรื่องจำเป็น หรือว่ายังอินกับสุภาษิตที่ว่า "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี" อยู่ ส่วนตัวครูพิมนั้น เลิกอินกับสุภาษิตนี้ไปนานแล้วค่ะ เพราะไม่ว่าจะเป็นตัวเองโดนตี หรือเห็นคนอื่นโดนตี ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาถูกกระทำด้วยความรักแต่อย่างใด ก็เลยงงๆ เหมือนกันว่า แล้วเด็กๆ จะเข้าใจเหรอว่า "แม่/พ่อ/ครู ตีเพราะรัก" คนรักกันเค้าไม่ทำให้เราเจ็บหรอกค่ะ จริงไหม? --------------------------------------- Darcia Narvaez ศาสตราจารย์ทางด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย Notre Dame ได้ทำการรวบรวมงานวิจัยต่างๆ เกี่ยวกับสาเหตุ และผลของการตีเด็ก ทั้งผลในระยะสั้น และระยะยาว บทความของเธอบอกเราว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่เลือกการตีเพื่อที่จะหยุดพฤติกรรมที่พวกเขาไม่ต้องการ และเพิ่มพฤติกรรมที่อยากให้เกิดขึ้น โดยพฤติกรรมที่มักทำให้เด็กๆ ถูกตีก็คือ 1) ไม่ทำตามคำสั่งในทันที (เช่นบอกให้ทำงานบ้าน อ่านหนังสือ ปิดโทรทัศน์) 2) ไม่ทำตามคำสั่งในระยะยาว (เช่นเรื่องที่เคยสั่งสอนไว้ก่อนหน้า หรือเรื่องที่เคยห้ามไว้) 3) แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว แม้ว่าการติดตามดูพฤติกรรมการตีจะเป็นเรื่องยาก เพราะผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่ได้ตีเด็กต่อหน้าคนแปลกหน้า (ในที่นี้คือนักวิจัย) แต่ก็มีนักวิจัยบางส่วนที่สามารถติดตามผลการวิจัยได้ โดยการสังเกตพฤติกรรมของผู้ปกครองกับเด็กเล็ก ในห้องปฏิบัติการที่จัดเตรียมไว้ให้ และการเก็บข้อมูลระยะยาว ผลจากการสังเกตและเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลานานพบว่า - การตีหรือการดุด่าของผู้ปกครอง ไม่ได้ช่วยลดความก้าวร้าวของเด็กลง และในความเป็นจริง เด็กที่ถูกตียังมีความก้าวร้าวเพิ่มมากขึ้น ทั้งในแง่ของจำนวนและระดับของความก้าวร้าว (พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งถูกตี ก็ยิ่งก้าวร้าวมากขึ้นและบ่อยขึ้น หากวัดเป็นกราฟคือเพิ่มขึ้นจากตอนที่ยังไม่ถูกตีนั่นเองค่ะ-ครูพิม) - ในระยะยาว เด็กที่เคยถูกตี ก็ไม่ได้มีความก้าวร้าวลดลง แถมยังคาดการณ์ได้ว่า พวกเขาจะมีระดับความก้าวร้าวสูงขึ้นอีกด้วย ดังนั้นใครที่เข้าใจว่า ตีลูกแล้ว ในอนาคตเขาจะเข้าใจและไม่ทำผิดซ้ำอีกนั้น คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ (น่าเศร้ามาก) - ไม่ว่าเด็กที่ถูกตีจะมีพื้นนิสัยแบบใด เกิดในครอบครัวแบบใด หรืออยู่ในสังคมวัฒนธรรมใดก็ตาม ผลการศึกษาก็ออกมาตรงกันคือ การตี เพิ่มระดับความก้าวร้าวของเด็กทั้งในระยะสั้น และระยะยาวค่ะ เขียนโดย Pim Nattanee Sukpreedee www.pimandchildren.com
การกอด เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ครูพิมชอบมากค่ะ โดยเฉพาะเวลากอดเด็กเล็กๆ ทั้งด้วยความหมั่นเขี้ยวและเอ็นดู เวลากอดเด็กตัวนิ่มๆ นี่จะรู้สึกดีมาก เหมือนได้เติมพลัง ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย ครูพิมเองก็เชื่อว่า พ่อแม่ทุกคนรวมถึงใครก็ตามที่ได้มีโอกาสใช้เวลาอยู่กับเจ้าตัวเล็ก ย่อมอยากที่จะกอดจะหอมเป็นธรรมดา แต่ก็มีหลายๆ ครั้งค่ะ ที่การแสดงความรักอย่าง "การกอด" นั้น ถูกละเลยไปอย่างน่าเสียดาย บ้างก็เพราะไม่มีเวลา บ้างก็เพราะเขินอาย บ้างก็กลับไปคิดว่า การกอดจะทำให้ลูกกลายเป็นลูกแหง่หรือติดแม่ติดพ่อ ซึ่งในความเป็นจริงเรื่องการติดแม่กับเรื่องการกอดนี่เป็นคนละเรื่องเลยค่ะ เรามาต่อที่เรื่องของการกอดกันดีกว่าค่ะ คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่คะว่า การกอดนั้นไม่ใช่เพียงแค่เป็นการแสดงความรักเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กๆ อีกด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น - ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น มีความใกล้ชิดทางใจ ไว้ใจและรู้สึกปลอดภัย - ลดความเครียด เพราะเด็กๆ เองก็มีความเครียดตามช่วงวัยเช่นกันค่ะ ทั้งการเครียดจากความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของร่างกาย และความเครียดที่เป็นผลจากความสามารถที่จำกัด เช่น ยังเดินไม่เร็ว สื่อสารไม่ได้ ไปไหนมาไหนเองไม่สะดวก เป็นต้น - การกอดเป็นความรู้สึกที่อยู่ในจิตใต้สำนึก (ความรู้สึกเหมือนการอยู่ในท้องแม่) ดังนั้น การกอดเด็กๆ จะช่วยสร้างความรู้สึกผูกพันได้เป็นอย่างดีค่ะ - การกอดทำให้อารมณ์ดีและลดความรู้สึกก้าวร้าวลง ครูพิมแนะนำว่า ในเวลาที่เด็กๆ รู้สึกหงุดหงิด เริ่มมีกิริยาก้าวร้าว รุนแรง ผู้ใหญ่อย่างเราสามารถใช้การกอดในการระงับอารมณ์และลดพฤติกรรมก้าวร้าวที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ค่ะ เห็นประโยชน์ขนาดนี้แล้ว ทีนี้มาดูกันต่อค่ะว่า แล้วต้อง "กอดอย่างไร" ล่ะ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นการกอดที่ "ทรงพลัง" เทคนิคมีเพียง 3 ข้อง่ายๆ ค่ะ 1) กอดแบบอกชนอก หรือหันหน้าเข้าหากัน การกอดแบบนี้ถูกจัดว่าเป็นการกอดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะทำให้เกิดความรู้สึกใกล้ชิด และด้วยตำแหน่งของการกอดแบบนี้ จะช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมไธมัส ซึ่งช่วยปรับสมดุลการทำงานของเม็ดเลือดขาว ซึ่งจะช่วยให้เรามีสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย 2) กอดกันนานๆ ขึ้นอีกนิด มีการศึกษาพบว่า ระยะเวลาของการกอดที่ดีต่อร่างกายและความรู้สึกมากที่สุดอยู่ที่ 6 วินาที ฟังดูเหมือนจะนานนะคะ แต่การกอดกันนานๆ ก็ย่อมจะดีกว่าการกอดแบบรวดเร็วเหมือนขอไปทีไม่ใช่หรือ 3) กอดกันวันละ 6-10 ครั้ง ตรงนี้ผู้ปกครองหลายคนอาจจะบอกว่า ไม่มีเวลาหรอก หรือไม่ก็อาจจะคิดว่า บ่อยไปไหมคะ อันที่จริงแล้ว กอดยิ่งบ่อยก็ยิ่งดีค่ะ แต่หากว่าไม่รู้จะใช้โอกาสอะไรในการกอดดี ขอให้เริ่มที่กอดหลังตื่นนอน และกอดก่อนเข้านอนก่อนเลยค่ะ เท่านี้ก็ได้อย่างต่ำวันละ 2 ครั้งแล้ว และหากเป็นเด็กในวัยเรียน เราก็เพิ่มมาอีก 2 ครั้งจากการกอดก่อนไปเรียน และกอดหลังเลิกเรียน เห็นไหมคะ ว่าเราหาโอกาสกอดให้เป็นกิจวัตรได้ไม่ยากเลย อีกไม่กี่ครั้งที่เหลือ ครูพิมเชื่อว่าเราหาโอกาสได้แน่ๆ ค่ะ หรือถ้าไม่มีโอกาสพิเศษ เราก็ใช้โอกาส "อยากจะกอด" ก็ได้นะคะ ไม่ว่ากัน ด้วยเทคนิคง่ายๆ เพียง 3 ข้อนี้ คุณก็สามารถที่จะสร้าง "กอดที่ทรงพลัง" ให้กับเด็กๆ ได้แล้วหละค่ะ แล้วเราก็เตรียมรอดูได้เลยว่า กอดอันทรงพลังของเรานั้น จะส่งพลังอะไรไปให้เด็กๆ (และตัวเรา) ได้บ้าง...เชื่อเถอะค่ะว่า จะต้องมีแต่พลังของสิ่งที่ดีๆ เกิดขึ้นแน่นอน. เขียนโดย Pim Nattanee Sukpreedee www.pimandchildren.com
วันนี้เราจะมาพูดกันในเรื่องของสาเหตุที่ทำให้การตีไม่ได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมลูก และเพราะเหตุใด การตีจึงเป็นเรื่องต้องห้าม มาที่คำถามแรกกันก่อนนะคะว่า ทำไมตีเด็กแล้วพฤติกรรมที่เราต้องการจะหยุดหรือห้าม ถึงยังไม่หายไป นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม ได้ให้คำตอบไว้ว่า การทำโทษด้วยความเจ็บปวดนั้น จะได้ผลในระยะยาวก็ต่อเมื่อ การลงโทษนั้นเกิดขึ้นในทันทีทันใด หลังจากเกิดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เราจะไม่จับหม้อร้อนๆ อีกเลย เมื่อเราเคยเผลอไปโดนมันแล้วรู้ว่าร้อนมาก (ความร้อนทำให้เราเกิดความรู้สึกเจ็บปวดในทันทีหลังจากเราจับหม้อ) แต่กรณีการลงโทษเด็กนั้น มันเป็นไปได้น้อยมากที่เราจะทำการลงโทษได้ทันทีเมื่อเด็กทำอะไรสักอย่างที่เราไม่พึงพอใจ ที่พูดแบบนี้ ครูพิมไม่ได้หมายความว่างั้นก็ลงโทษทันทีสินะคะ เพราะต่อให้เราตียังไงก็ไม่ได้ผลอยู่ดี เนื่องจากเราไม่ได้ตัวติดกับเด็กตลอดเวลาขนาดนั้น และที่สำคัญคือ มีวิธีการอีกมากมายที่จะช่วยปรับพฤติกรรมของเด็กๆ ได้ โดยที่เราไม่ต้องใช้การตี ซึ่งส่วนนี้ครูพิมได้ทยอยนำมาฝากกันอยู่เป็นประจำอยู่แล้วนะคะ คำถามต่อมาคือ ทำไมการตีเด็กจึงควรเป็นเรื่องต้องห้าม Darcia ได้สรุปถึงผลเสียของการตีเด็กไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ค่ะ - การตีทำลายความไว้วางใจ เด็กที่ถูกตีจะถอยกลับมาสร้างพื้นที่เล็กๆ ให้กับตัวเองและลดความสัมพันธ์กับผู้ที่ตีลง เมื่อเด็กมีความไว้วางใจน้อยลง ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมาต่อคนๆ นั้น โดยอาจจะเลือกที่จะแสดงความก้าวร้าวออกมาก่อนที่จะถูกกระทำด้วย - การตีทำลายสุขภาพจิต (ไม่น่าจะมีเด็กที่ถูกตีคนไหนรู้สึกดีหรือมีความสุขทางใจเพิ่มขึ้นหรอกจริงไหมคะ) - การตีเป็นการเพิ่มอัตราการกระทำผิดกฎหมายและการต่ออาชญากรรม (เช่นอาจจะทำให้เกิดเหตุทีรุนแรงต่อมาจากการตีนั้นๆ ) - การตีส่วนใหญ่เป็นลักษณะที่ดูเหมือนเป็นการทำร้ายร่างกายเด็กมากกว่าการอบรมสั่งสอน เพราะครูพิมเชื่อว่า พ่อ แม่ ครูและผู้ปกครองทุกๆ คน ไม่มีใครอยากที่จะทำร้ายเด็กหรือลูกๆ ของตัวเอง เพียงแต่ยังไม่ทราบว่าจะต้องอบรมสั่งสอนเขาด้วยวิธีใดก็เท่านั้น แต่ในวันนี้ครูพิมคิดว่าผลการวิจัยและเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ น่าจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้เราหยุดคิดทุกครั้งก่อนที่จะทำการลงโทษใดๆ ในครั้งต่อไป สำหรับวิธีการต่างๆ ที่จะช่วยให้เราปรับพฤติกรรมของลูกๆ ได้อย่างง่ายดายและเป็นไปในทางบวก ครูพิมจะพยายามนำมาเผยแพร่ให้ทราบกันในโอกาสต่อๆ ไป ขอให้ติดตามกันได้ค่ะ ด้วยรัก ครูพิม ้เขียนโดย พงศ์มนัส บุศยประทีป
ตอนนี้ไม่ว่าใครๆ ก็มีสมาร์ทโฟนติดตัว การสื่อสารในปัจจุบันนั้น โทรศัพท์เองก็อาจจะเป็นรองไปแล้ว เมื่อเทียบกับการสนทนาผ่านโปรแกรมแชทอย่าง Line, Facebook และ WhatsApp แต่การสื่อสารด้วยตัวหนังสือนั้นมีเรื่องที่ต้องระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะตอนที่กำลังทะเลาะกัน หรือพยายามจะคืนดีกันผ่านทางแชท วันนี้เราจะมาคุยเรื่องนี้กันครับ เวลาคนเราสื่อสารกันนั้น เราไม่ได้ใช้กันแต่ภาษาพูด แต่เราใช้สิ่งที่เรียกว่า “ภาษากาย” ในการสื่อสารด้วย ไม่ว่าจะเป็น สีหน้า ท่าทางของอวัยวะส่วนต่างๆ รวมถึงน้ำเสียง และจังหวะในการพูด ซึ่งในการสื่อสารแบบเห็นหน้านั้น เราจะได้รับข้อมูลทั้งภาษาพูด และภาษากายพร้อมๆ กัน แตกต่างจากการสื่อสารทางไกล เช่น โทรศัพท์ที่เราจะได้ภาษาพูด ส่วนภาษากายเราจะส่งและรับรู้ได้ผ่านทางน้ำเสียง และจังหวะในการพูดแค่นั้น ส่วนการแชทนั้นเป็นการสนทนาที่ให้ข้อมูลน้อยที่สุด เพราะเราไม่สามารถส่งภาษากายทางแชทได้เลย ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการสื่อสารโดยไม่มีภาษากายคือการเข้าใจผิด ท่านเคยหรือไม่ว่า เวลาทะเลาะกันผ่านการแชทนั้น จากเรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่บานปลายกว่าเดิม หรือตอนที่พยายามจะปรับความเข้าใจคืนดีกันผ่านแชท ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่สำเร็จ เผลอๆ กลายเป็นทะเลาะกันหนักกว่าเดิม สาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะตอนเราแชท เราไม่เห็นสีหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่น้ำเสียง และจังหวะการพูดของอีกฝ่าย อย่างเช่นอีกฝ่ายพูดมาว่า “ก็ได้” เราอาจจะตีความว่าเขายอมเรา หรือเขากำลังจะเอาเรื่อง ซึ่งถ้าเราสื่อสารทางอื่น เราจะรู้ได้ทันทีว่าเขาหมายถึงแบบไหนผ่านทางสีหน้า และน้ำเสียงของเขา หรือถ้าเราพูดไปว่า “ฉันมันผิดเอง” ซึ่งถ้าเราใช้น้ำเสียงอ่อนๆ อีกฝ่ายจะรับรู้การสำนึกผิดของเรา แต่พอเราใช้การแชท อีกฝ่ายเลยคิดว่าเราประชดแทน หรือแม้แต่ความเงียบระหว่างการสนทนา ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากอินเทอร์เน็ตช้า หรืออีกฝ่ายเจอบางอย่างมาขัดจังหวะ ก็อาจจะถูกตีความไปต่างๆ นาๆ ได้ว่ากำลังโกรธ หรือไม่อยากคุยด้วย ดังนั้นหากท่านเล็งเห็นแล้วว่า การแชทแล้วยิ่งทำให้การทะเลาะเลวร้ายลง หรือปรับความเข้าใจอย่างไรก็ไม่ได้สักที อาจจะต้องนัดเจอกันสักครั้งล่ะครับ หรือโทรศัพท์หากันก็ได้ อย่างน้อยภาษากายจะทำให้เราเข้าใจกันและกันได้มากขึ้นอีกเยอะ. เขียนโดย พงศ์มนัส บุศยประทีป
ท่านผู้อ่านเคยไหมครับ ตอนที่ทะเลาะกับคนสำคัญรอบๆ ตัวท่าน ไม่ว่าจะเป็นคนรัก พ่อแม่ พี่น้อง หรือเพื่อนสนิท สถานการณ์เหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการแน่ๆ เพราะคนสำคัญของเรา เราก็ไม่อยากจะให้เขาเกลียดเรา และเราก็ไม่อยากจะเกลียดเขาด้วย แต่พอทะเลาะกัน แน่นอนว่ามันก็ต้องมีปากมีเสียง มีการถกเถียงกันเป็นธรรมดา หลายๆ ครั้ง ทั้งเราและอีกฝ่ายเหมือนพยายามที่จะคุยกันดีๆ พยายามจะใช้เหตุผล ใช้อารมณ์ให้น้อยที่สุด แต่ยิ่งพูดกันอารมณ์กับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น กลายเป็นยิ่งทะเลาะกันใหญ่โต เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น คนเรานั้นเวลาเราพูดจา ถกเถียง หรือทะเลาะกันนั้น เราไม่ได้รับรู้อีกฝ่ายด้วยคำพูดเท่านั้น แต่เรารับรู้สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียงของอีกฝ่ายด้วย สิ่งที่ไม่ได้ออกมาเป็น “คำ” แต่สื่อความหมายได้นั้น เราเรียกกันว่า “ภาษากาย” นั่นเอง ท่านเลยจินตนาการว่ามีคนพูดกับท่านว่า “เชิญค่ะ” คนแรกพูดด้วยเสียงหวานๆ โค้งตัวให้ท่านน้อยๆ ยิ้มหวานๆ ให้ท่าน และผายมือไปยังสถานที่ที่เชื้อเชิญท่านไป กับอีกคนหนึ่งพูดด้วยเสียงตะคอก หน้าบึ้งให้ท่าน ใช้มือหนึ่งเปิดประตู และอีกมือชี้ให้ท่านออกไป แน่นอนว่าสถานการณ์แรกท่านจะตีความว่าเขาเชื้อเชิญอย่างเต็มใจ แต่อีกสถานการณ์เหมือนเขาจะอยากไล่ให้ท่านไปจากตรงนั้น เวลาเราถกเถียงกันก็เช่นกัน หลายๆ ครั้งคนเราลืมไปว่า สิ่งที่ตัวเองพูดถึงแม้จะมีเนื้อหาที่พยายามจะปรับความเข้าใจอย่างเต็มที่ แต่น้ำเสียงนั้นยังดุดัน หรือบางครั้งฟังแล้วเหมือนประชดประชันอีกฝ่าย ยกตัวอย่างเช่น หากมีฝ่ายหนึ่งพูดว่า “ฉันผิดเองล่ะ” หากคนแรกน้ำเสียงอ่อนๆ ก้มหน้าลงต่ำๆ เหมือนสำนึกผิด กับอีกคนหนึ่งพูดด้วยคำพูดเดียวกัน แต่ใช้น้ำเสียงแดกดัน ประชดประชัน ท่านคิดว่าแบบไหนที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายคืนดีกันได้ง่ายขึ้นครับ ปัญหาส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะเราเองมักจะไม่รู้ตัวว่าเราทำสีหน้าอย่างไร แสดงท่าทางอย่างไร ตอนที่เรากำลังพูด โดยเฉพาะตอนที่เราโมโห แค่คุมสติไม่ให้พูดว่าร้าย ด่าทอ อีกฝ่ายก็ลำบากแล้ว การคุมสีหน้าท่าทางให้ดูสงบ ดูโอนอ่อน พร้อมจะประนีประนอมนั้นเลยเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก หากท่านกำลังโกรธใครใหม่ๆ ท่านลองส่องกระจกดูก็ได้ครับ แล้วท่านจะพบว่าสีหน้าของท่านนั้น ใครเห็นก็รู้สึกไม่ดี ไม่ใช่เพราะว่าท่านหน้าตาดีไม่ดีนะครับ แต่ใบหน้าของคนโกรธ เป็นใบหน้าที่ไม่ว่าใครก็ไม่ชอบ น้ำเสียงเป็นอีกสิ่งที่คุมได้ยากยิ่ง เวลาโกรธกันนั้น ขนาดพูดด้วยเนื้อหาธรรมดาแบบยังฟังแล้วทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดีได้ ดังนั้นเวลาคนทะเลาะกัน เนื้อหาที่พูดกันบางครั้งก็วนไปวนมา แต่ยิ่งฟัง อารมณ์ยิ่งขึ้น ปัญหายิ่งบานปลาย แล้วเราควรจะทำอย่างไรดี... การรู้ตัวในเรื่องภาษากายนี้ตอนที่ทะเลาะกับคนอื่นก็พอจะช่วยได้บ้าง พยายามควบคุมภาษากายของเรา น้ำเสียงของเราไม่ให้กระแทกกระทั้น ไม่ให้ประชดประชัน ไม่ให้ดูเหน็บแนม หรือแม้แต่น้อยอกน้อยใจ พยายามอย่าสร้างความรู้สึกไม่ดีให้แก่อีกฝ่าย แต่ตอนที่อารมณ์เราไม่ดีจริงๆ โกรธจริงๆ นั้น การควบคุมยิ่งทำได้ยาก ดังนั้นหากเราไม่พร้อมที่จะปรับความเข้าใจ หรือคืนดีกับใคร การขอเวลาอีกฝ่าย ให้ไปสงบสติอารมณ์นั้นน่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่า พอเราสงบสติอารมณ์ของเราได้แล้ว การควบคุมภาษากายในแบบที่เป็นมิตรมากขึ้นจะทำได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่แบบที่ยิ่งมองยิ่งทำให้อีกฝ่ายโมโหหรือน้อยใจ อดใจรอสักนิดดีกว่าแก้ไขตอนที่ไม่พร้อมแล้วทำให้ปัญหาแย่กว่าเดิมจริงไหมครับ อย่าลืมว่าคนเรานั้น เวลาเราพูดไม่ใช่แค่ปาก แต่สีหน้า ท่าทางของเรานั้น พูดไปพร้อมๆ กับเรา. |
Archives
February 2016
Categories |