เขียนโดย พงศ์มนัส บุศยประทีป
พอพูดถึงคำว่า “นักจิตวิทยา” หลายๆ ท่านอาจจะนึกถึงตัวละครในภาพยนตร์ที่สามารถอ่านใจคนได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ เดาได้ถูกว่าคนนั้นจะทำอะไรในอนาคต โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องพูดอะไรเลย หรือไม่ต้องพูดสิ่งนั้นตรงๆ นักจิตวิทยาแค่ดูท่าทาง สีหน้า สายตา หรืออากัปกิริยาอื่นๆ ประกอบก็อ่านใจอีกฝ่ายได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว นักจิตวิทยาไม่สามารถอ่านใจคนได้ถึงระดับนั้น โดยเฉพาะในการอ่านใจในแบบภาพยนตร์ที่นักจิตวิทยาเหมือนว่าได้ยินเสียงในใจของอีกฝ่ายเลยว่าเขาคิดเป็นประโยคอะไรอยู่ แบบนั้นยังถือว่าเกินความจริงไปเยอะทีเดียว ถ้าถามว่านักจิตวิทยาพอจะอ่านใจคนได้หรือไม่ คำตอบคือบางคนอาจจะพอจะอ่านได้บ้าง แต่จะอ่านกันอย่างไร และอ่านได้มากแค่ไหนนั้น ในวันนี้เราจะมาพูดคุยถึงเรื่องนี้กัน ก่อนอื่น อย่างที่เราคุยกันไปแล้วในบทความ จิตวิทยาคืออะไรกันแน่ ( http://www.psychola.net/applied/-what-is-psychology ) ว่าจิตวิทยานั้นก็มีหลากหลายสาขา เช่น จิตวิทยาพัฒนาการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมที่แตกต่างกันของคนในแต่ละวัย จิตวิทยาการปรึกษานำความรู้ทางจิตวิทยามาประยุกต์ช่วยเหลือบุคคลที่มีความทุกข์ ถึงแม้ว่าจิตวิทยานั้นจะมีเป้าหมายในการทำนายพฤติกรรมมนุษย์อยู่ด้วย แต่เราก็ไม่ได้ทำนายจากสีหน้าท่าทางแบบในหนัง แต่เราทำนายจากสิ่งอื่นๆ ด้วย เช่น เราทำนายว่าความเครียดที่สูงขึ้น จะทำให้คนกินอาหารมากขึ้น หรือจำนวนคนที่มากขึ้น ลดพฤติกรรมการช่วยเหลือผู้อื่นของคน ดังนั้นการอ่านใจหรือการทำนายพฤติกรรรมจากสีหน้าท่าทางจึงได้รับการศึกษาจากนักจิตวิทยาเพียงบางสาขาเท่านั้น นักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับบางอาชีพจำเป็นต้องมีทักษะในการอ่านใจ เช่น นักจิตวิทยาการปรึกษาต้องมีทักษะในการสังเกตสีหน้า และท่าทางของผู้รับการปรึกษา เช่น การที่นักจิตวิทยาถามคำถามบางอย่าง แล้วผู้ตอบไม่ตอบนั้น เพราะอะไร เขามีสีหน้าอึดอัด ลำบากใจ หรือมีเหตุผลอื่นๆ ซ่อนอยู่หรือไม่ ในอีกวงการที่สำคัญคืออาชีพที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม เช่น ผู้ใช้จิตวิทยาในการสอบสวน เช่น ใช้ดูว่าจำเลยกำลังโกหกอยู่หรือไม่ขณะที่พูด หรือในวงการทหาร ที่ใช้จิตวิทยาในการดึงข้อมูลมาจากเชลยสงคราม แต่ก็ต้องบอกไว้ก่อนว่า อ่านใจที่ว่าคือการคาดการณ์สิ่งที่อีกฝ่ายน่าจะจะกำลังคิดเพียงคร่าวๆ เท่านั้น นักจิตวิทยาที่ทำงานในวงการดังกล่าวอาจจะรู้แค่คร่าวๆ ว่า อีกฝ่ายกำลังโกหก หรือปิดบังอะไรบางอย่าง แต่การที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรนั้นต้องขึ้นอยู่กับผู้อ่านใจด้วยว่า รู้จักผู้ที่ถูกอ่านใจมากน้อยแค่ไหน มีข้อมูลเรื่องที่กำลังต้องการอ่านใจมากน้อยแค่ไหน การอ่านใจแบบที่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร เดาออกเป็นประโยค เป็นเรื่องเป็นราวแบบในภาพยนตร์นั้นยังถือว่าห่างไกลจากความเป็นจริงอย่างมาก และจนถึงทุกวันนี้ในแวดวงวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นจิตวิทยา และศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสมองและระบบประสาท ก็ยังไม่สามารถอ่านใจมนุษย์ได้ละเอียด และแม่นยำได้ขนาดนั้น แม้กระทั่งเครื่องจับเท็จ (Polygraph) ก็ไม่ใช่เครื่องมือที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถจับโกหกได้อย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตามนักจิตวิทยายังคงให้ความสำคัญและศึกษาเกี่ยวกับ “ภาษากาย” หรือกิริยา ท่าทาง น้ำเสียง หรือสิ่งต่างๆ ที่ไม่ได้พูดออกมาเป็นภาษาหรือคำพูด ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นกุญแจที่สามารถไขได้ว่าบุคคลนั้นแท้จริงแล้วคิดอย่างไร เช่น ในตอนนี้มีงานวิจัยมากมาย ที่พยายามค้นหาว่ากิริยา ท่าทาง อะไรบ้าง ที่กำลังบ่งบอกว่าบุคคลนั้นกำลังโกหก ถึงเราก็ยังไม่สามารถจับโกหกใครได้ 100% และการจับโกหกนั้นต้องใช้การฝึกฝน และประสบการณ์ และไม่มีเทคนิคใดที่ดีที่สุด เพราะคนเรานั้นมีความแตกต่างกันไป แม้ว่าจิตวิทยาจะเป็นศาสตร์ที่มีมานานแล้ว แต่เราต่างรู้กันดีกว่าจิตใจมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง การอ่านใจคนเลยเป็นเรื่องที่ยากเย็นไม่น้อยเลยทีเดียว แม้ว่าตอนนี้การอ่านใจคนอาจจะเป็นแค่เรื่องในภาพยนตร์ แต่เช่นเดียวกับที่คนสมัยก่อนไม่คาดคิดว่ามนุษย์จะบินได้ ไปอวกาศได้ หรือมีคอมพิวเตอร์ที่ใส่กระเป๋ากางเกงได้ ในอนาคตต่อไป จิตวิทยาอาจจะพัฒนาจนสามารถอ่านใจคนจริงๆ ได้ในสักวันก็เป็นไปได้. เขียนโดย พงศ์มนัส บุศยประทีป
หากพูดคำว่า “จิตวิทยา” หลายๆ ท่านน่าจะเคยได้ยินคำนี้กันบ่อยๆ แต่อาจจะยังไม่เห็นภาพชัดเจนว่าแล้วจิตวิทยาคืออะไรกันแน่ โดยบางท่านอาจจะคุ้นเคยว่าจิตวิทยาเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการรักษาคนบ้า รักษาอาการทางจิต หรือจิตวิทยาเกี่ยวข้องเกี่ยวกับการอ่านใจคน แต่ในความเป็นจริงแล้วนั่นเป็นเพียงของส่วนเล็กๆ ของจิตวิทยาเท่านั้น แล้วแท้จริงแล้วจิตวิทยาคืออะไร วันนี้เราจะมาคุยเรื่องนี้กัน จิตวิทยานั้น มีความหมายตามชื่อ คือการศึกษาเกี่ยวกับ “จิต” เช่นเดียวกับ ชีววิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับ “ชีวะ” หรือสิ่งมีชีวิต หรือรังสีวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับรังสี หลายๆ ท่านคงเริ่มสงสัยต่อว่า แล้ว “จิต” หมายถึงอะไร คำว่า “จิต” หรือจิตใจนั้น หมายถึงสิ่งที่ควบคุมให้เราทำสิ่งต่างๆ ท่านลองนึกว่าร่างกายของท่านคือหุ่นยนต์ หากไม่มีอะไรมาควบคุม ต่อให้มีไฟฟ้าหรือพลังงาน หุ่นยนต์ตัวนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งๆ แต่เมื่อไรก็ตามที่มีคนมาควบคุม หุ่นยนต์ตัวนั้นจึงจะเคลื่อนไหว มนุษย์ก็เช่นกัน โดยสิ่งที่คอยสั่งให้เราทำอะไรต่ออะไร ก็คือจิต หรือความคิดของเรานั่นเอง จิตวิทยานอกจากจะศึกษาเกี่ยวกับความคิด ที่คอยควบคุมให้เราทำสิ่งต่างๆ แล้ว จิตวิทยายังศึกษาความคิดที่อยู่ในใจที่ไม่แสดงออก รวมถึงอารมณ์และความรู้สึกของเราอีกด้วย นอกจากนี้จิตวิทยายังศึกษาเกี่ยวกับการกระทำหรือการเคลื่อนไหวหรือการแสดงออกมาภายนอก โดยทั้งความคิด อารมณ์ ความรู้สึก และการกระทำนั้น เราเรียกรวมกันว่าคือ “พฤติกรรม” สรุปสั้นๆ แล้วจิตวิทยาก็คือศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์นั่นเอง พฤติกรรมของมนุษย์นั้นมีมากมายมหาศาล ตั้งแต่ เดิน นอน พูด กิน ทำงาน นอกจากนี้อารมณ์ และความรู้สึกก็มีไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นดีใจ เสียใจ โกรธ ผิดหวัง เศร้า และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นจิตวิทยาเลยมีหัวข้อให้ศึกษามากมาย คำถามต่อมาคือ แล้วเราจะศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ไปเพื่ออะไร คำตอบแรกก็คือเพื่อทำให้เราเข้าใจ และสามารถอธิบายกลไกต่างๆ ของพฤติกรรมมนุษย์ได้ เช่น เรื่องพฤติกรรมการกิน เราสามารถอธิบายได้ว่าความรู้สึกหิวของมนุษย์นั้น เกิดขึ้นจากการที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ รวมถึงปริมาณอาหารที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารมีน้อย หรืออธิบายได้ว่าการที่คนเราเลียนแบบคนอื่นนั้น เพราะเราต้องการเป็นที่ยอมรับจากบุคคลรอบตัว เราไม่อยากเป็นคนที่แปลกประหลาด เพราะตามธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคมแล้ว การถูกคนรอบตัวกีดกันไม่ยอมรับเป็นพวกเดียวกัน เป็นสิ่งที่ทำให้เราคนเรารู้สึกไม่ดีอย่างมาก หลังจากที่เราศึกษาเข้าใจพฤติกรรมต่างๆ กันไปแล้ว สิ่งต่อมาที่เราจะได้จากการศึกษาคือ เราสามารถทำนายว่าพฤติกรรมจะเกิดขึ้นเมื่อไร หรือมีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เกิดหรือไม่เกิดพฤติกรรมดังกล่าว เช่น เราสามารถใช้ระดับความความวิตกกังวลทำนายเกี่ยวกับภาวะนอนไม่หลับได้ โดยคนที่ขี้กังวล มักจะพบกับปัญหาเรื่องนอนไม่หลับบ่อยๆ หรือเราสามารถทำนายความก้าวร้าวหรือการใช้กำลังทะเลาะวิวาทด้วยความแตกต่างทางเพศ เพราะโดยเฉลี่ยผู้ชายมักจะก้าวร้าวมากกว่าผู้หญิง หลังจากที่เราทำนายได้ว่าพฤติกรรมใด จะเกิดหรือไม่เกิด ขั้นต่อมาคือเราสามารถนำไปควบคุม หรือนำไปประยุกต์ใช้ว่าจะทำอย่างไรให้เกิดหรือไม่เกิดพฤติกรรมต่างๆ เช่น เราสามารถควบคุมให้คนมีความเครียดน้อยลง ด้วยการให้คนหมั่นฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เพราะเรารู้แล้วว่าอาการตึงของกล้ามเนื้อนั้น ส่งผลให้คนเกิดความเครียดได้เช่นกัน หรือเราควบคุมให้คนอู้งานน้อยลง ด้วยการบอกปริมาณชิ้นงานที่ทำเสร็จของพนักงานละคน เพราะเรารู้ว่าการที่เราบอกชิ้นงานเป็นภาพรวมของทั้งแผนก จะยิ่งทำให้พนักงานอู้งานมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมของมนุษย์เป็นหัวข้อที่มีสิ่งให้ศึกษามากมาย จิตวิทยาเองก็เลยมีหลากหลายสาขา เช่น จิตวิทยาพัฒนาการที่ศึกษาพฤติกรรมที่แตกต่างกันในระหว่างวัยเพราะเด็กก็มีพฤติกรรมบางอย่างแตกต่างจากผู้ใหญ่ หรือจิตวิทยาบุคลิกภาพที่ศึกษาเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะคนแต่ละคนก็ใช่ว่าจะทำอะไร คิดอะไรเหมือนๆ กัน หรือจิตวิทยาสังคมที่ศึกษาพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไป เพราะการที่มีคนอื่นๆ อยู่รอบตัว เพราะคนเรานั้นอยู่คนเดียวก็มีพฤติกรรมอย่างหนึ่ง อยู่กับคนอื่นก็อาจจะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ยังมีการนำจิตวิทยาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ที่นำความรู้ทางจิตวิทยาไปใช้ประยุกต์ในการทำงานว่าจะทำอย่างไรให้พนักงานทำงานออกมาได้มีประสิทธิภาพที่สุด และยังมีความสุขในการทำงานอีกด้วย หรือจิตวิทยาการปรึกษาและจิตวิทยาคลินิก ที่นำหลักการทางจิตวิทยาไปประยุกต์ใช้เพื่อช่วยเหลือคนที่มีปัญหาด้านความทุกข์ ความเศร้า ปัญหาทางจิตใจอื่นๆ รวมถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับทางจิต ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าการรักษาคนผิดปกติทางจิต เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในจิตวิทยาเท่านั้น ส่วนเรื่องการอ่านใจคนที่เราพูดถึงไปในตอนต้นนั้น จริงอยู่ว่าเป็นความใฝ่ฝันของมนุษย์ แต่ในปัจจุบัน เรายังไม่มีความรู้หรือเทคโนโลยีใดทางจิตวิทยาหรือศาสตร์อื่นๆ ที่จะอ่านใจของคนได้ เราสามารถอ่านท่าทาง การแสดงสีหน้า หรือน้ำเสียง เพื่อคาดเดาสิ่งที่คนคิดในใจได้บ้าง แต่การอ่านใจแบบในภาพยนตร์นั้น ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ดังนั้นต่อให้เป็นนักจิตวิทยาก็ไม่สามารถอ่านใจคนได้ เมื่ออ่านถึงตรงนี้ คงจะพอทำให้ท่านเห็นภาพที่กว้างขึ้นจิตวิทยา เรามาลองสังเกตรอบๆ ตัวกันดีกว่า ว่ามีอะไรบ้างที่สามารถเป็นโจทย์ให้จิตวิทยาศึกษาได้บ้าง แล้วท่านจะพบว่าจิตวิทยานั้นเป็นศาสตร์ที่น่ารู้ไม่น้อยเลยทีเดียว. เขียนโดย พงศ์มนัส บุศยประทีป
เป็นเรื่องปกติที่บางครั้งเวลาเรามีความทุกข์ หรือรู้สึกซึมเศร้า เราจะไม่อยากทำอะไรเลยสักอย่าง อยากนั่งเฉยๆ คิดถึงเรื่องที่กำลังทุกข์ใจอยู่แบบนั้น แค่คิดจะลุกไปทำงาน หรือทำกิจวัตรอื่นๆ ที่จำเป็นก็เป็นเรื่องหนักหนาเอาการแล้ว เรื่องออกกำลังกายนั้นเลยแทบไม่ต้องพูดถึง แถมบางคนพอตกอยู่ในห้วงของความทุกข์ใจเมื่อไร เมื่อนั้นความอยากอาหารก็จะน้อยลงจนแทบจะไม่เหลือ ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้นแม้ว่าจะมีของโปรดวางตรงหน้า พอทุกข์ใจแล้วกินอะไรก็ไม่อร่อยไปเสียหมด คนมีความทุกข์ร่างกายก็เลยอ่อนแอตามลงไปด้วย จริงอยู่ที่ช่วงเวลานี้เราไม่อยากทำ หรืออยากกินอะไรสักอย่าง อยากจะรอให้ความทุกข์ผ่านไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน หลายๆ คนละเลยการใส่ใจดูแลร่างกายเพราะคิดว่าต่อให้ร่างกายแข็งแรงไป ก็ไม่ได้ช่วยให้ความทุกข์นั้นผ่านไปเสียหน่อย แต่ช่วงเวลาที่เราทุกข์นี่แหละครับที่เราควรจะดูแลร่างกายตนเองให้มากที่สุด หลายๆ ท่านอาจจะคิดว่าเรื่องของจิตใจและเรื่องของร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่แยกกันต่างหาก ทุกข์ใจไม่เกี่ยวกับทุกข์กาย และทุกข์กายก็ไม่เกี่ยวกับทุกข์ใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วกายและใจเป็นสิ่งที่ตัดไม่ตายขายไม่ขาด ตัวอย่างง่ายๆ คือเวลาเราป่วยหนักๆ ก็ยากที่เราจะมีความสุขในช่วงนั้นจริงไหมครับ ไม่ว่าจะเป็นไข้ ปวดหัว ปวดท้อง หรือเจ็บป่วยส่วนใดก็ล้วนแต่ทำให้เราทุกข์ทรมาน ต่อให้ไม่มีปัญหาเรื่องงานเรื่อง เรื่องเรียน เรื่องความรักมากวนใจในตอนนั้น แต่ก็ยากที่จะมีความสุขในภาวะเจ็บป่วย โบราณเขาถึงบอกว่า “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” ร่างกายกับจิตใจของคนเรายังเชื่อมต่อกันมากกว่านั้น คนเรานั้นเวลาต้องฝืนใจทำอะไร เราต้องใช้พลังงานมากกว่าปกติพอสมควร ท่านลองนึกถึงตอนที่ท่านออกไปเที่ยวเล่น ทำกิจกรรมที่ชอบ กับตอนที่ท่านต้องทำงาน ท่านจะเห็นว่าบางครั้งการได้ทำอะไรที่ชอบถึงแม้จะใช้พลังงานมากกว่า เช่น เล่นกีฬา เล่นเกม เดินเที่ยว ที่ทำเท่าไหร่ร่างกายกับไม่รู้สึกอ่อนแรงเท่ากับตอนที่เราทำในสิ่งที่ไม่ชอบอย่างการนั่งทำงาน ลองนึกถึงตอนที่เราเดินชอปปิงตั้งเกือบห้าหกกิโล เรายังไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าการเดินเพื่อให้ติดต่องานกิโลเมตรเดียว ความรู้สึกเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นมาจากความเหนื่อยกายมันก็คือความ “เหนื่อยใจ” นั่นแหละครับ คนเรานั้นมีกลไกของร่างกายที่เป็นเหมือนแบตเตอรี่สำหรับทำสิ่งที่ฝืนใจอยู่ ภาษาทางจิตวิทยาเรียกว่า “self-regulation” โดยที่ผมเปรียบเป็นเหมือนแบตเตอรี่เพราะว่ามันมีวันหมดนั่นเองครับ พอเราฝืนใจไปสักพักเราจะเริ่มรู้สึกอ่อนล้า และพอถึงจุดๆ หนึ่งเราจะเริ่มทนไม่ไหวที่จะฝืนทำสิ่งเดียวกันต่อหรือสิ่งอื่นๆ ที่ต้องฝืนแล้ว หลายๆ ท่านอาจจะเคยเป็นแบบนั้นในวันที่มีงานมากกว่าปกติ หรือต้องเรียนหลายวิชาในวันเดียวกัน พอเราฝืนใจมากๆ แบตเตอรี่ตรงนี้ก็จะค่อยๆ หมด ทำให้เราทนฝืนใจอะไรต่อไม่ได้ หากเราต้องทำงานต่อในช่วงนั้นเราก็จะรู้สึกว่าไม่มีสมาธิ คิดอะไรไม่ออก และช่วงเวลานั้นใครจะมาขัดใจเราไม่ได้เชียว จะหงุดหงิดง่ายกว่าปกติมากๆ เพราะเราอยู่ในภาวะที่ทนอะไรไม่ค่อยไหวแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือแบตเตอรี่ของกลไกดังกล่าวนั้น มีความสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือดของเรา ถ้าเรากำลังหิวๆ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เราจะทนฝืนใจอะไรต่อสิ่งต่างๆ ได้น้อยลงตามไปด้วย คนที่กำลังหิวเลยโมโหง่ายๆ หรือที่เรียกว่า “โมโหหิว” อย่างไรล่ะครับ ดังนั้นเวลาที่เรากำลังมีความทุกข์ กำลังซึมเศร้า ในช่วงเวลาที่เราไม่อยากทำอะไรสักอย่าง ถึงแม้ว่าเราจะไม่เจริญอาหารแค่ไหน ก็ขอให้กินข้าวกินปลาตามปกติ อย่างน้อยก็ควรจะกินให้ครบสามมื้อ อย่าปล่อยให้ร่างกายของเราหิว เพราะถ้าระดับน้ำตาลในเลือดของเรามีน้อยเท่าไหร่ พลังงานที่เราจะใช้ในการฝืนฮึดสู้กับความทุกข์จะยิ่งมีน้อยเท่านั้น ร่างกายและจิตใจของมนุษย์นั้นปกติแล้วมีกลไกในการฟื้นตัวทั้งจากการเจ็บป่วยทางกาย และจากความทุกข์ใจด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่ทั้งร่างกายและจิตใจต่างมีก็อกของพลังงานที่ต้องใช้ร่วมกัน ถ้าเรากินน้อยไป ไม่ใช่แค่ร่างกายจะไม่มีแรง จิตใจของเราจะไม่มีแรงตามไปด้วย ดังนั้นช่วงเวลาที่เราทุกข์ใจควรจะเป็นช่วงเวลาที่เราดูแลร่างกายให้ดี เพราะตอนที่เราเจ็บป่วย จะลุกจะนั่งก็รู้สึกลำบากไปหมด ทำอะไรแต่ละอย่างก็ต้องฝืนทำ แบตเตอรี่ของเราจะพร่องลงอย่างรวดเร็วทั้งจากการฝืนกายและการฝืนใจ ภาวะแบบนั้นจะทำให้เราไม่มีแรงที่จะฟื้นตัวจากความทุกข์ที่เรามี นอกจากนี้ช่วงที่เราทุกข์กายเป็นช่วงที่เราควรจะหาโอกาสเล่นกีฬาสักหน่อย ใครๆ ก็รู้ว่าการเล่นกีฬาช่วยทำให้ร่างกายของเราแข็งแรง การเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอเป็นยาดีในการป้องกันโรคภัย ในช่วงเวลาที่เราทุกข์ใจ ขนาดร่างกายเราแข็งแรงดีเรายังรู้สึกแย่ ดังนั้นอย่าปล่อยให้โรคต่างๆ มาทำให้เรายิ่งรู้สึกแย่หนักขึ้นอีกจะดีกว่าครับ ข้อดีของการออกกำลังกายยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะการเล่นกีฬาบ่อยๆ จะทำให้ร่างกายของเรามีแรง ไม่อิดโรย ไม่โทรม ความรู้สึกสดชื่น กับความรู้สึกห่อเหี่ยวของจิตใจนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความทุกข์ความสุขที่เกิดภายในใจของเราเพียงอย่างเดียว แต่เวลาที่สมองของเราจะตัดสินว่าตัวเรากำลังสดชื่นแจ่มใสแค่ไหน สมองพิจารณาทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆ กัน หากร่างกายของเรารู้สึกกระปรี้กระเปร่า สมองของเราก็ตีความให้เรารู้สึกสดชื่นตามไปด้วย ถึงแม้ว่าการออกกำลังกายจะทำให้เรารู้สึกเหนื่อย แต่พอเราหายเหนื่อยแล้วร่างกายของเราจะรู้สึกดีกว่าการที่เรานั่งซึมเฉยๆ มากเลยทีเดียวครับ ดังนั้นในช่วงที่ทุกข์ใจ ฝืนตัวเองมาออกแรงสักหน่อย เอาแค่พอให้ร่างกายได้ขยับบ้าง ไม่รู้สึกว่าตนเองมีเรี่ยวแรงขึ้นบ้าง สิ่งนี้จะช่วยทำให้เรารู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว สรุปแล้ว ถ้าใจกำลังเป็นทุกข์ และไม่รู้จะเริ่มแก้จากตรงไหน ทำให้ “กายเป็นสุข” ก่อน อย่าปล่อยให้กายป่วย ทรุดโทรม และท้องหิว เพราะนอกจากจะทำให้เราขาดแรงกายแล้ว แรงใจก็ลดน้อยลงไปด้วย ถ้ากายแข็งแรง ใจก็จะมีพลังฝ่าฟันความทุกข์ให้ผ่านไปได้ในไม่ช้า. เขียนโดย พงศ์มนัส บุศยประทีป
หลายๆ ท่านคงเคยได้ยิน หรือเคยเห็นตามภาพยนตร์ว่ามีอุปกรณ์ที่ต่อสายระโยงระยางเข้ากับคน และสามารถจับโกหกสิ่งที่บุคคลนั้นพูดได้ โดยเครื่องนั้นมีชื่อว่า “เครื่องจับเท็จ” หรือ “Polygraph” ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวนั้นมีการใช้งานอยู่จริงๆ ครับ ไม่ได้มีแค่ในหนัง แต่คำถามที่ตามมาคือเครื่องจับเท็จนั้นสามารถจับโกหกได้จริงหรือไม่ เพื่อที่จะตอบคำถามดังกล่าว เราต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกของเครื่องจับเท็จกันเสียก่อน ที่เราเห็นว่าเครื่องจับเท็จนั้นต่อสายระโยงระยางที่เครื่องจับเท็จต่อจากคนนั้น เพราะเครื่องจับเท็จต้องการตรวจความดันโลหิต ระดับชีพจร อัตราการหายใจ และปริมาณเหงื่อที่เกิดขึ้นขณะพูด ซึ่งค่าเหล่านี้จะมีความแตกต่างกันระหว่างคนที่โกหกกับคนที่พูดความจริง เพราะค่าดังกล่าวสามารถวัดถึงระดับความวิตกกังวล และความเครียดได้ หลายๆ ท่านอาจจะเริ่มสงสัยว่า แล้วเราจะวัดความวิตกกังวล และความเครียดไปทำไม สิ่งนั้นเกี่ยวอะไรกับการโกหก คำตอบก็คือเนื่องจากบุคคลที่โกหกนั้น มีความวิตกกังวล และความเครียดมากกว่าคนที่พูดความจริง เพราะบุคคลนั้นกลัวว่าจะถูกอีกฝ่ายจับได้ว่าโกหก พอวิตกกังวลหรือเครียดเมื่อไหร่ ความดันโลหิตก็จะสูงขึ้น ชีพจรก็จะเต้นเร็วขึ้น หายใจถี่ขึ้น และเหงื่อก็จะมากขึ้นกว่าตอนพูดคุยปกติ ดังนั้นเครื่องจับเท็จจำเป็นต้องวัดสองรอบ โดยรอบแรก ผู้ควบคุมเครื่องจะสอบถามเรื่องทั่วไปกับคนที่กำลังถูกจับโกหก ที่เป็นคำถามที่ตอบได้ง่ายๆ ไม่ต้องโกหก เช่น ตอนเช้าทานอะไรมา เพื่อวัดความดันโลหิต ระดับชีพจร อัตราการหายใจ และปริมาณเหงื่อที่เกิดขึ้นในภาวะปกติ และรอบหลังๆ จะปะปนด้วยการถามคำถามในเรื่องที่ต้องการจับโกหก หากค่าต่างๆ ที่ได้นั้นผิดไปจากปกติ ก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าบุคคลนั้นกำลังโกหกอยู่ ฟังดูแล้วดูดีมีหลักการใช่ไหมครับ แต่อย่างไรก็ตามเครื่องนี้ไม่สามารถจับโกหกได้แม่นยำนัก เพราะคนเรามักจะตื่นเต้นเวลาต้องโยงสายกับเครื่องดังกล่าว และการถามคำถามโดยที่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายกำลังจับโกหกตนเองอยู่นั้น ต่อให้กำลังพูดความจริงหลายๆ คนก็วิตกกังวลหรือเครียดอยู่ดี ผลที่ได้เลยออกมาผิดพลาดเยอะ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบุคคลที่สามารถพูดโกหกได้แนบเนียน โดยไม่มีความวิตกกังวล หรือความเครียดใดๆ หรือที่เราเรียว่า “ลิ้นสองแฉก” อยู่ในโลกนี้ด้วย สรุปแล้วเครื่องนี้เลยไม่สามารถจับโกหกได้ ในปัจจุบันเครื่องจับโกหกยังมีการใช้งานอยู่บ้าง แต่ใช้เป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบการสอบสวน ไม่สามารถใช้ยืนยันในขั้นศาลได้ว่าบุคคลดังกล่าวโกหกจริงหรือไม่. ที่มาของภาพประกอบ http://en.wikipedia.org/wiki/Polygraph เขียนโดย พงศ์มนัส บุศยประทีป
ความรักเป็นเรื่องใหญ่เสมอ ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม ท่านจะพบว่าทั้งนิยาย บทละคร และบทเพลงส่วนใหญ่ต่างก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก เพราะอะไรคนเราถึงใส่ใจกับเรื่องความรักหนักหนา คำตอบหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าคนเรานั้นมีความสุขท่วมท้นเวลาที่มีความรัก ยิ่งในช่วงเวลาเริ่มต้นของการมีความรัก ช่วงเวลาที่รักเพิ่งสมหวัง รักนั้นจะมอบความสุขให้มากมายจนสิ่งอื่นๆ ก็ไม่อาจเทียบได้ แค่ได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่รักก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษแล้ว จะมีเรื่องใดที่ทำให้คนสุขใจได้เท่าความรัก... แต่โลกเรานั้น ทุกอย่างล้วนมีสองด้าน มีด้านสว่างก็มีด้านมืด มีด้านดีก็มีด้านไม่ดี รักเองก็เช่นเดียวกัน ความรักนอกจากจะมอบความสุขที่ท่วมท้นให้กับคนเราแล้ว ความรักยังมอบทุกข์ที่แสนหนักหนาให้กับใครต่อใครหลายๆ คนเช่นกัน นิยาย บทละคร หรือบทเพลงที่เกี่ยวกับความรักนั้น นอกจากจะนำเสนอถึงความสุขที่ได้จากรักแล้ว ยังเสนอความทุกข์ที่มาจากความรัก ไม่ว่าจะเป็นการลาจาก การไม่สมหวัง การทอดทิ้ง การทะเลาะผิดใจ หรือแม้แต่การหึงหวง รักให้ทั้งสุขให้ทั้งทุกข์ จนถึงขนาดมีคำพูดที่ว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” ในชีวิตจริงก็เช่นกัน หลายๆ ท่านอาจจะเคยพบเจอกับประสบการณ์ตรงจากความทุกข์ที่เกิดจากความรักมาบ้าง หรือบางท่านก็อาจจะมีคนรอบตัวที่ซึมเศร้า เป็นทุกข์เพราะความรัก นอกจากนี้ท่านคงเคยได้ยินข่าวการฆ่าตัวตายของคนที่ผิดหวังจากความรัก ถึงแม้จะเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นข่าวที่เราได้ยินบ่อยๆ เราคงเห็นแล้วว่าความทุกข์จากความรักนั้นมีอิทธิพลต่อมนุษย์มากเพียงใด เพราะอะไร แค่คนรักอยู่ใกล้ก็ทำให้มีความสุข และเพราะอะไรการที่คนรักห่างเหินไปกับมอบความทุกข์มหาศาลมาให้ คำตอบนั้นอยู่ที่คำๆ หนึ่งที่ท่านคุ้นเคยกันดีนั่นก็คือคำว่า “ความผูกพัน” ความผูกพันคือสิ่งที่ทำให้คนสองคนต้องการอยู่ใกล้กัน ท่านคงเคยได้ยินคำนี้อยู่ในบทเพลง และนิยายรักบ่อยครั้ง หากใครผูกพันกับใคร ทั้งสองคนก็อยากที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่อยากจะห่างกันไปไหน ถึงคำๆ นี้อาจจะปรากฎอยู่ในนิยายหรือบทเพลงมากกว่าการใช้ในชีวิตจริง แต่เชื่อหรือไม่ว่าความผูกพัน หรือ “Attachment” ในภาษาอังกฤษนั้น เป็นชื่อกลไกของจิตใจอย่างหนึ่งที่นักจิตวิทยานั้นศึกษากันอย่างกว้างขวาง ความผูกพันนั้นเป็นกลไกที่เหมือนกับเชือกตามชื่อของมัน ก็คือ “ผูก” และ “พัน” ความผูกพันจะเป็นเหมือนสิ่งที่คอยผูกหรือมัดบุคคลที่ผูกพันให้อยู่ใกล้กันไว้ แต่นั่นก็ไม่ได้ความว่ามันมีพลังลึกลับ หรือเรามีเชือกที่มองไม่เห็นคล้องเราไว้กับใคร แต่สิ่งที่ทำให้คนที่ผูกพันกันอยู่ใกล้กันก็คือความสุขที่ได้อยู่ใกล้ และความทุกข์ที่ต้องแยกจากนั่นเอง ความผูกพันนั้นเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของความรัก คนรักกันก็จะผูกพันกันด้วย พอคู่รักได้ใกล้ชิดกลไกของความผูกพันก็จะทำให้ทั้งคู่สุขใจ และในทางตรงกันข้ามเมื่อคู่รักต้องอยู่ห่างไกล กลไกความผูกพันก็จะทำให้วิตกกังวล กระวนกระวาย ว่าอีกฝ่ายจะไม่รัก หรือแม้แต่รู้สึกหึงหวง กลัวว่าอีกฝ่ายจะไปมีคนใหม่ กลไกนี้เลยทำให้คู่รักอยากจะอยู่ใกล้ชิดกันตลอดเวลา เรามาดูที่มากันดีกว่า ว่านักจิตวิทยานั้นค้นพบกลไกของความผูกพันมาได้อย่างไร ความผูกพันประเภทแรกที่นักจิตวิทยาค้นพบคือความผูกพันระหว่างแม่และเด็ก จากความสงสัยว่าเพราะอะไร เด็กทารกถึงร้องไห้ และแสดงสีหน้าทุกข์ทรมานเมื่อแม่หายหน้าไป และเมื่อใดที่แม่พยายามจะออกห่างเด็กก็จะพยายามเหนี่ยวรั้งแม่ไว้ และในทางกลับกันเมื่อเด็กได้อยู่ใกล้ชิดกับแม่ เด็กก็มักจะอารมณ์ดีและดูมีความสุขมากกว่า ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นหากผู้หญิงที่เป็นแม่คนต้องอยู่ห่างจากลูกเล็กๆ ของตัวเอง ก็มักจะมีเกิดความรู้สึกวิตกกังวล กระวนกระวายอย่างมากเช่นกัน เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างมาผูกมัดทั้งแม่และเด็กไว้ด้วยกัน นักจิตวิทยาจึงค้นพบกลไกที่เรียกว่า ความผูกพัน ต่อมานักจิตวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบคู่รักในผู้ใหญ่จึงค้นพบว่ากลไกของความผูกพันก็มีบทบาทในคู่รักเช่นเดียวกัน คู่รักนั้นหากต้องอยู่ห่างกันก็จะรู้สึกวิตกกังวล กระวนกระวาย และความรู้สึกไม่ดีเหล่านั้นบางครั้งก็มากจนยากที่จะควบคุม แต่เวลาได้อยู่ใกล้กันก็มีความสุขมากอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ซึ่งกลไกนี้คล้ายคลึงกับกลไกความผูกพันระหว่างแม่และเด็กเป็นอย่างมาก กลไกของความผูกพันนั้นฝังลึกมากับเราตั้งแต่เกิด เป็นเหมือนสัญชาตญาณเลยก็ว่าได้ ดังนั้นแม่และลูกจึงผูกพันกันตั้งแต่เมื่อลูกลืมตาเกิด และเมื่อคนเราตกหลุกรักใครแล้ว เราก็จะรู้สึกผูกพันกับคนที่เราเหมือนเป็นกลไกที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หลายๆ ท่านอาจจะเริ่มสงสัยว่า แล้วเพราะเหตุใดธรรมชาติจึงต้องสร้างกลไกที่ทำให้แม่และลูก หรือคู่รักต้องการอยู่ใกล้กันถึงขนาดที่ว่าถ้าอยู่ไกลกันแล้วจะพบกับความทุกข์ทรมานอย่างมาก อยู่ใกล้กันแล้วจะมีประโยชน์อะไร กลไกของจิตใจมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์หรือความรู้สึกต่างๆ ล้วนแต่มีวิวัฒนาการมาเพื่อความอยู่รอด สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับเรา เช่น เรารู้สึกดีเวลาได้กินอาหารหวาน เพราะอาหารที่หวานนั้นเต็มไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อมนุษย์ ส่วนสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี ส่วนใหญ่มักจะเป็นสิ่งที่มีอันตรายต่อตัวเรา เช่น เรารู้สึกไม่ดีเวลากินอาหารที่มีรสขม เพราะอาหารที่มีรสขมมักจะมีสารพิษที่เป็นอันตรายปะปนมาด้วย ถ้าเช่นนั้นการได้ใกล้ชิดกับคนที่เรารักมีประโยชน์ต่อความอยู่รอดอย่างไร การจะตอบคำถามนี้ได้เราต้องมองย้อนไปในอดีตของมนุษย์ในช่วงหมื่นๆ ปีที่แล้วหรือนานกว่านั้นกันเสียหน่อย ในสมัยก่อนมนุษย์เรานั้นก็อาศัยอยู่ในในธรรมชาติที่เป็นป่าหรือทุ่งหญ้าเหมือนสัตว์อื่นๆ ทำให้มนุษย์เราต้องเผชิญกับอันตรายต่างๆ มากมาย เพราะรอบตัวเต็มไปด้วยสัตว์กินเนื้อที่เป็นผู้ล่า การที่จะมีชีวิตรอดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาตัวรอดจากผู้ล่าได้หรือไม่ กับมนุษย์ผู้ใหญ่นั้นก็พอจะเอาตัวรอดได้บ้าง เพราะสามารถวิ่งหนี หรือแม้แต่พอจะสู้กับผู้ล่าที่ตัวไม่ใหญ่มากไหว แต่กับเด็กทารกและเด็กเล็กๆ นั้นแทบจะไม่มีโอกาสที่จะรอดชีวิตจากผู้ล่าได้เลย ดังนั้นเด็กทารกและเด็กเล็กจึงจำเป็นต้องมีคนคอยปกป้อง และคนที่ทำหน้าที่นั้นก็คือแม่ของพวกเขานั่นเอง ธรรมชาติเลยสร้างกลไกความผูกพันให้แม่และเด็กอยู่ใกล้ชิดกันไว้ ให้เด็กคอยตามติดแม่ตลอดเวลา แม่เองก็ต้องอยู่ใกล้ลูกคอยปกป้องลูกจากอันตราย นอกจากนี้ เด็กทารกนั้นจำเป็นต้องกินนมจากแม่ และเด็กเล็กๆ ไม่สามารถหาอาหารเองได้ แม่และเด็กเลยจำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดกันเสมอ ไม่เช่นนั้นลูกก็จะอดตาย ในตอนนี้หลายๆ ท่านอาจจะเริ่มสงสัยว่า ถ้าเช่นนั้น แล้วคู่รักจำเป็นต้องผูกพันกันไปทำไม ในเมื่อต่างฝ่ายต่างโตแล้ว สามารถปกป้องตนเองได้ และหาอาหารเองได้ คำตอบก็คือในสมัยโบราณ คู่รักก็คือคนที่เป็นพ่อและแม่นั่นเอง แม่นั้นมีสัญชาตญาณให้เลี้ยงดูลูก มีความผูกพันใกล้ชิดลูกอยู่แล้ว แต่การที่แม่เลี้ยงลูกคนเดียวก็ถือว่าเป็นงานที่หนักหนาสาหัสอยู่ เพราะถ้าจะทิ้งลูกไว้แล้วไปหาอาหารลูกก็จะอยู่ในอันตราย แต่ถ้าจะดูแลลูกอย่างเดียว ก็จะหาอาหารได้ไม่เพียงพอ ดังนั้นธรรมชาติเลยสร้างให้คู่รักหรือพ่อและแม่ผูกพันกันไว้ ผู้ชายจะได้ช่วยผู้หญิงหาอาหารและคอยปกป้องผู้หญิงในช่วงเวลาที่ทั้งคู่มีลูก เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้ทั้งแม่และเด็กอยู่รอดปลอดภัย ดังนั้นคู่รักในตอนที่รักกันใหม่ๆ ถึงแทบจะไม่อยากอยู่ห่างกันเลยแม้แต่วันเดียว ความผูกพันนั้นเป็นกลไกที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณนับล้านปี และไม่ได้มีแต่ในมนุษย์เท่านั้น แต่ในสัตว์หลากหลายสายพันธุ์เราก็พบความผูกพันระหว่างแม่และลูก เช่น ในแม่ลิงและลูกลิง และในสัตว์อีกหลายประเภทเราก็พบความผูกพันระหว่างคู่รัก เช่น ในนกบางชนิด ความผูกพันเป็นกลไกฝังแน่นจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เราจึงมีความสุขและความทุกข์กับรักโดยที่ไม่ต้องเรียนรู้ ไม่ต้องมีใครมาสอน เนื่องจากความอยู่รอดเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากของสิ่งมีชีวิต อารมณ์ที่เกิดจากความผูกพันเลยเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์ คนที่มีความรักเลยสุขเหลือล้นเวลาได้อยู่ใกล้คนรัก แต่ก็ต้องเป็นทุกข์ วิตกกังวลเมื่ออยู่ไกลกัน และทรมานแสนสาหัสตอนอีกฝ่ายบอกเลิก เพราะจะไม่ได้อยู่ใกล้กับคนที่เรารักอีกต่อไป ในตอนนี้หลายๆ ท่านอาจจะเริ่มสงสัยต่อว่า แล้วในปัจจุบัน ที่เราไม่ได้อยู่ในป่าเขา ท่ามกลางผู้ล่าเหมือนในสมัยก่อน และต่อให้มีมีแค่คนเดียวก็สามารถเลี้ยงลูกให้อยู่รอดได้ นอกจากนี้คู่รักในปัจจุบันก็ไม่จำเป็นจะต้องแต่งงานและมีลูกกันแน่ๆ เพราะมนุษย์เราไม่ได้มีลูกทันทีหลังจากที่รักกัน แถมบางครั้งรักกันมันไม่นานก็เลิกแล้วก็มีให้เห็นถมไป แล้วทำไมมนุษย์ถึงยังคงมีกลไกของความผูกพันอยู่ คำตอบก็คือกลไกของมนุษย์เรานั้น หากเป็นกลไกที่เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติเหมือนเป็นสัญชาตญาณแล้ว สิ่งนี้ล้วนถูกฝั่งแน่นอยู่ในพันธุกรรมของเรา การเปลี่ยนแปลงในส่วนนี้จะได้จากวิวัฒนาการเท่านั้น และวิวัฒนาการนั้นต้องใช้เวลานับล้านปี แต่มนุษย์เรานั้นเพิ่งมีที่อยู่ที่ปลอดภัย อาหารที่อุดมสมบูรณ์มาไม่ถึงหมื่นปีเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นมนุษย์เราจะยังอยู่กับกลไกของความผูกพันต่อไปอีกนานแสนนาน มาถึงตรงนี้ เราคงรู้จักหน้าตาของกลไกที่ทำให้เราเป็นสุขและเป็นทุกข์กับความรักกันไปพอสมควรแล้ว ในเรื่องความสุขจากความรักนั้น เราคงไม่เดือดร้อน อะไรที่ให้ความสุขมาก ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่ความทุกข์จากความรักนี่สิ เราจะจัดการกับมันอย่างไร การที่เราได้ทำความรู้จักกลไกที่อยู่เบื้องหลังความทุกข์ และรู้ที่มาที่ไปของกลไกนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะทำให้เราเข้าใจตนเองได้มากขึ้น เวลาคนเรามีความทุกข์เพราะความรัก เราจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ที่เรารู้สึกแบบนั้น ส่วนหนึ่งเพราะกลไกตามธรรมชาติของเราที่จะทำให้เราเป็นทุกข์แสนสาหัส เวลาที่เราต้องอยู่ห่างไกลจากคนรัก และหลายๆ ครั้งเลยทำให้ปัญหาเล็ก กลายเป็นปัญหาใหญ่ คู่รักที่อยู่ไกลกันเลยทะเลาะกันบ่อยครั้ง แถมบางคนก็หึงหวงอีกฝ่ายจนเกินพอดี สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสัญชาตญาณของเรา ดังนั้นหากเราเข้าใจที่มาของอารมณ์ลบ และความทุกข์เหล่านั้น เราก็จะเหมือนหาทางบรรเทาอารมณ์เหล่านั้นให้เบาบางลงได้ง่ายขึ้น มีสติกับอารมณ์ที่เกิดได้ง่ายขึ้น เราทุกข์เพราะรักไม่ใช่เรื่องแปลก ความรักเป็นสิ่งสำคัญ การที่เราจะทุกข์ที่ต้องแยกจาก วิตกกังวลเมื่อห่างไกล มันเป็นเรื่องปกติ แต่หากเรารู้สึกทุกข์ ซึมเศร้า และวิตกกังวลกับรักมากจนเกินไป ก็ลองคิดเสียว่าอย่าไปหมกมุ่นกับอารมณ์เหล่านั้นมากนัก เพราะกลไกที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีเหล่านั้นมันสร้างมาเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ตั้งแต่อดีตที่เรายังอยู่ในป่า มีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ จนถึงตอนนี้ที่เราอยู่ในเมืองที่แสนห่างไกลธรรมชาติ กลไกดังกล่าวก็อาจจะล้าสมัยไปบ้างแล้ว . |
Archives
February 2016
Categories |