By NusNus
เคยอ่านหนังสือ a day weekly (นานมากแล้ว)มีการ์ตูนแซวสังคมเป็นแม่บ่นลูกตั้งแต่แม่ใส่โจงกะเบนแล้วลูกแต่งกระโปรงบานแบบสมัยฟ้าทะลายโจร พอแม่ยุคต่อมาใส่กระโปรงบานก็ไปบ่นลูกที่แต่งตัวแบบดิสโก้เทค พอแม่แต่งตัวแบบดิสโก้ก็มาบ่นลูกที่แต่งตัวฮิบฮอบไปเรื่อย ๆ เห็นแล้วตลกดี พอคิดแล้วก็มานึกถึงปัญหาสังคมทุกยุคสมัยที่ไม่มีวันแก้ไขได้คือปัญหาความไม่เข้าใจของพ่อแม่ กับลูก พ่อแม่ว่าถูกลูกว่าผิด พอลูกว่าถูกพ่อแม่ก็ว่าผิด ปัญหาที่ว่าคนต่างอายุไม่ค่อยเข้าใจกันไม่ได้มีแต่ในครอบครัวเท่านั้น ในที่ทำงานเจ้านายอายุมากไม่เข้าใจพนักงานวัยรุ่น หรือแม้แต่ครูไม่เข้าใจนักเรียน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นปกติ ซึ่งโยงเข้าชื่อเรื่อง ต่างรุ่นเข้าใจยาก เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับจิตวิทยา เพราะจิตวิทยาเกี่ยวกับอะไรที่มนุษย์คิด หรือทำ ในหัวข้อนี้จะเกี่ยวกับเรื่องความคิด คนเรานั้นถูกผิด มีหลายอย่างที่พูดง่ายหลายอย่างที่พูดยาก ถูกผิดที่พูดง่ายเช่น หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสามอันนี้เห็นชัดว่าผิด (ผิดจริง ๆ นะ) ถูกผิดที่พูดยากเช่น กระโปรงขนาดไหนถึงเรียกว่าโป๊ เวลาเจอผู้ใหญ่ต้องพูดแบบไหน ควรแต่งงานอายุเท่าไหร่ อันนี้ไม่ใช่กฎเกณฑ์ตายตัวที่มีเขียนไว้ บางคนก็ว่าแบบนี้ถูก บางสังคมก็ว่าแบบนี้ถูก บางประเทศก็ว่าแบบนี้ถูก สิ่งเหล่านี้ถูกผิดขึ้นอยู่กับอะไรนั้นอาจจะเรียกได้ว่าขึ้นกับที่คนแต่ละคนยึดถือ ที่ถูกผิดแบบมีหลักยึดมันก็พอจะง่ายที่จะบอกว่าแบบไหนถูก แต่ถ้ามันไม่มีหลักอะไรให้ยึด คนเราก็จะใช้หลักที่ง่ายและสมองสั่งให้ใช้ คือยึดคนรอบตัวว่าคนอื่นเขาทำอะไรกัน พอคนรอบตัวมุงอะไรเราก็อยากมุงมั่ง พอคนใส่สีขาวดำเราก็รู้สึกว่าควรจะใส่ด้วย คนในผับแดนซ์กันเราก็รู้สึกว่าควรจะไปแดนซ์ เป็นเรื่องง่ายที่จะคิดว่าคนส่วนใหญ่เขาทำอย่างไร และที่ถูกก็คือแบบนั้น เช่น พอเข้าผับแล้วไปนั่งเฉย ๆ กินอาหารกับน้ำอัดลม มันก็เลยกลายเป็นเรื่องผิดแปลก ปัญหาความไม่เข้าใจกันระหว่างรุ่นมีพื้นฐานมาจากสิ่งนี้นี่เอง โลกเราไม่ได้หน้าตาเหมือนเดิมตลอดเวลา ผ่านไปหนึ่งปีอะไร ๆ ก็เปลี่ยน คนในสังคมก็เปลี่ยน คนที่ใช้ชีวิตมาในสังคมแบบไหนก็จะมีความคิดอีกแบบหนึ่ง คนที่ใช้ชีวิตมาในสังคมอีกแบบก็จะมีความคิดอีกแบบ และตามที่บอกมาแล้วถูกผิดของคนขึ้นกับคนรอบตัวมาก ๆ คนที่เกิดในยุคสมัยเดียวกันก็มักจะคิดคล้ายกัน คนที่อยู่ในเวลาต่างกันก็จะคิดต่างกัน เพราะว่าคนรอบตัวพวกเขาไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าเมื่อยุค 1960 หรือ Sixty ที่เราคุ้นหู ด้วยอิทธิพลของเอลวิส ใครไว้จอนใส่กางเกงขาบานก็เป็นการแต่งตัวปกติที่ถือว่าถูกต้อง เพราะคนอื่นเขาก็แต่งแบบนี้ ใครไม่ทำสิจะเป็นคนเชยระเบิด แต่เมื่อคนรุ่นนั้นแก่ตัว มามีหลานในสมัยนี้ที่แต่งแนวพังค์สีแสบ ๆ โกรกผมนุ่งสั้น ก็คงคิดว่าคนรุ่นนี้มันแต่งอะไร ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย ส่วนวัยรุ่นสมัยนี้ถ้าเห็นคนมาแต่งไว้จอนขาบานก็คงคิดว่าพวกนี้แต่งอะไรไม่เข้าท่าเหมือนกัน เรื่องนี้ก็พอจะโยงกับพ่อแม่ที่ไม่เข้าใจวัยรุ่นแต่งตัวสั้น ๆ โป๊ ๆ ได้ เพราะในสมัยที่พวกเขาเป็นวัยรุ่นไม่มีใครแต่งแบบนี้กัน ไม่ใช่แค่เรื่องการแต่งตัวเท่านั้น การใช้ชีวิตการประกอบอาชีพของคนในแต่ละเวลาก็ต่างกัน คนในวัยรุ่นสมัยสักหลายสิบปีก่อน ยิ่งเป็นคนจีนต้องสร้างฐานะของตัวเองด้วยความยากลำบาก และจากความยากจนมาก่อนจึงเห็นคุณค่าของเงินและการเลี้ยงชีพ แต่พอมาในคนยุคต่อไปคนที่เป็นวัยรุ่นเกิดมาในสังคมที่เพียบพร้อมกว่า คนใช้เวลาไปกับดนตรี กีฬา ศิลปะ ความบันเทิง ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติของสมัยนี้ที่ใคร ๆ ก็ทำกัน จึงไม่แปลกใจที่เป็นปัญหาเกือบทุกบ้านคือ ลูก ๆ อยากทำตามความฝัน แต่พ่อแม่อยากให้ลูก ๆ มีฐานะมั่นคง เกิดมาในเวลาต่างกัน ก็เห็นว่าอะไรถูกผิดต่างกัน พ่อแม่เลยไม่เข้าใจลูก ครูเลยไม่เข้าใจนักเรียน เจ้านายอายุมากกว่าไม่เข้าใจลูกน้องที่อายุน้อยกว่า ก็ต้องเข้าใจซึ่งกันและกันหน่อย เพราะบางเรื่องในสมัยก่อนถือว่าถูกแต่สมัยนี้ถือว่าผิด และในบางเรื่องสมัยก่อนถือว่าผิดแต่สมัยนี้ถือว่าถูก และอย่างที่พูดไว้แล้วถูกผิดแบบนี้มันไม่มีความตายตัว มันเปลี่ยนไปตามสังคม ซึ่งสังคมก็เปลี่ยนไปตามเวลา ความจริงแล้วจะเกิดในเวลาไหนก็ยังมีสิ่งที่เหมือนกัน คือความไม่เข้าใจกันว่าทำไมอีกฝ่ายถึงคิดไม่เหมือนตัวเอง และความต้องการที่จะอยากให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกัน หากใจกว้างยอมรับความเปลี่ยนแปลงของโลก และเหตุผลของอีกฝ่ายเสียหน่อย จะต่างยุคต่างสมัยกันขนาดไหน ก็น่าจะยังมีโอกาสที่จะเข้าใจกัน . By NusNus
ในนิยาย การ์ตูน หรือภาพยนตร์หลายเรื่อง มักจะให้ความสำคัญกับ “ความหวัง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตอนถึงคราวคับขัน ตัวเอกเจอเหตุการณ์ที่วิกฤตมาก ๆ แทบจะมองไม่เห็นว่าจะหาทางออกกับปัญหาในขณะนั้นอย่างไร แต่ตัวละครก็จะเตือนสติตัวเอง หรือมีคนอื่นเตือนสติให้เชื่อมั่นว่า อย่าหมดหวัง ให้เชื่อจริง ๆ ว่าสิ่งร้าย ๆ ต้องผ่านไป และสิ่งดี ๆ ก็ต้องเข้ามาสักวัน ส่วนในชีวิตจริงนั้นเนื่องจากเราเป็นคนแสดงเสียเอง และเนื่องด้วยโลกในปัจจุบันคือโลกแห่งวิทยาศาสตร์ ความหวังดูเหมือนจะเป็นปาฏิหารย์เลือนรางใกล้เคียงกับเรื่องโชคราง แต่อย่างไรก็ตามมีการวิจัยของจิตวิทยาเกี่ยวกับผลของความคิด หรือความหวังของคนที่อยู่ภายในที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งรอบตัวให้เป็นไปตามนั้น ฟังแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่วิทยาศาสตร์แต่ความจริงแล้วความหวังมีอิทธิพลต่อสิ่งต่าง ๆ จริง ๆ ปรากฏการณ์ที่ความหวังนั้นเกืดก่อนความจริง เป็นเรื่องที่มีการกล่าวถึงมานาน แต่จะในแนวเหนือธรรมชาติเสียมากกว่า ภาษาอังกฤษเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Self-fulfilling prophecy ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจเกี่ยวกับนิยาย และภาพยนตร์ในหลาย ๆ เรื่อง แต่ผลของความหวังที่ทำให้เกิดความจริงอย่างมีหลักฐานนั้น มีการวิจัยที่ไม่ค่อยนานเท่าไหร่เมื่อ ปี 1992 ของ Robert Rosenthal และ Lenore Jacobson ซึ่งได้วิจัยเกี่ยวกับผลของครูที่มีต่อนักเรียน ซึ่งน่าสนใจมากทีเดียว การวิจัยนี้ทดลองโดยการบอกครูผู้สอนว่าเด็กคนไหนเก่ง และคนไหนไม่เก่ง โดยที่จริง ๆ แล้วเด็กทั้งคู่ก็เรียนเก่งพอ ๆ กัน แต่พอเวลาผ่านไป เด็กคนที่ครูผู้สอนเชื่อว่าเป็นเด็กเก่งก็เรียนเก่งขึ้นจริง ๆ และเด็กคนที่ครูผู้สอนเชื่อว่าเรียนไม่เก่ง ก็พาลเอาเรียนไม่เก่งเอาดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ที่เด็กทั้งคู่ก่อนหน้านี้มีความเก่งหรือฉลาดไม่แตกต่างกันเลย การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าความเชื่อของครูผู้สอนที่มีต่อนักเรียนมีผลต่อตัวนักเรียนอย่างมาก แต่ว่าเป็นเพราะอะไร? ความเชื่อที่อยู่ในหัวถึงส่งผลต่อเด็กจริง ๆ ได้ ความคิดของคนนั้นเหมือนจะอยู่แค่ภายในก็จริง แต่ว่ามันก็ส่งผลต่อเราหลายอย่างออกมาโดยที่เรารู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง ในการวิจัยข้างบนก็เป็นผลมาจากสิ่งนี้ ครูผู้สอนเมื่อรู้ว่านักเรียนคนไหนเรียนเก่งก็จะคาดหวังกับเด็กคนนั้นสูง พยายามส่งเสริมให้ทำอะไรต่าง ๆ ที่ยากขึ้น เมื่อเด็กคนนั้นไม่ได้หรือผิดก็อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องแปลก และพยายามทำให้เด็กคนนั้นทำได้ เพราะตนรับรู้ว่าเขาเป็นคนเก่งซึ่งควรจะทำอะไรยาก ๆ ได้ แต่เด็กคนที่ครูคาดว่าเรียนไม่เก่ง ครูก็จะไม่ค่อยจะให้มีส่วนร่วมเช่น ไม่ให้ตอบคำถามยาก ๆ เพราะคาดไว้อยู่แล้วว่าคงตอบไม่ได้เมื่อทำอะไรไม่ได้ ครูผู้นั้นก็จะเข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคิดไว้แล้วว่าเป็นคนไม่เก่ง และอาจจะละเลยที่จะส่งเสริมให้เด็กคนนั้นเก่งขึ้น เพราะคิดว่าคงจะยากเกินไปสำหรับเด็กคนนั้น การวิจัยข้างบนเป็นตัวอย่างหนึ่งของผลของความคาดหวัง เมื่อคนเราคาดหวังอะไรแล้ว คนเราก็จะมักจะคิดไว้ก่อน โดยที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป มันควรจะเป็นแบบไหน เช่น ถ้าเราหวังว่าวันเกิดของเราจะได้ของขวัญจากเพื่อน เมื่อเราเห็นกลุ่มเพื่อนของเราขอตัวไปซื้อของโดยไม่ให้เราไปด้วย เราก็มักจะคิดว่าเขาคงไปซื้อของขวัญให้เราแน่ ๆ และไม่เพียงเท่านั้น ความหวังของเราจะส่งผลกับคนอื่นด้วย เช่น ถ้าเราเห็นว่าเพื่อนไม่เห็นจะให้ของขวัญเราเสียที เราอาจจะพูดถึงของที่อยากได้ หรือแม้แต่การมองของที่อยากได้ขณะเดินซื้อของกับเพื่อน โดยหลายครั้งเราทำไปโดยไม่รู้ตัว และแน่นอนว่าคนอื่นเองก็อาจรับรู้ความต้องการของเราได้เช่นเดียวกัน เพื่อนเราที่อาจจะลืมวันเกิดเรา แต่เมื่อได้รับการกระตุ้นจากการกระทำของเราบ่อย ๆ เขาก็อาจจะจำได้ว่าควรจะซื้อของขวัญวันเกิดให้เรา การที่ความคาดหวังเป็นจริงนั้น เป็นเพราะเราทำให้สิ่งรอบตัวเอื้อต่อการเกิดสิ่งที่เราหวังนั่นเอง อย่างไรก็ตามนี่เป็นแค่ตัวอย่างที่ยกขึ้นมาให้เห็นชัดเจนเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว เรามักจะไม่รู้ตัวว่าเราพยายามทำสิ่งที่เราหวังให้เกิดขึ้น เพราะหลายสิ่งที่เราทำมันส่งผลเล็กน้อยมาก เช่น ถ้าเราแอบชอบใครเราจะพยายามหาโอกาสที่จะได้เจอกับคน ๆ นั้น เช่น เดินผ่านที่ที่เขาอยู่บ่อย ๆ ซึ่งถ้าหากมองเผิน ๆ แล้วเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่มันเป็นการเพิ่มความเป็นไปได้ของสิ่งที่เราหวัง เช่นจากตัวอย่าง ถ้าเราชอบใครแล้วเราไม่เคยทำให้เขาเห็นหน้าเลย โอกาสที่เขาจะชอบเราก็จะน้อยเต็มที นอกจากนี้ยังมีเรื่องท่าทาง การแสดงออกของคน หลายอย่างที่ส่งผลโดยความคิดภายใน โดยที่ยากจะปกปิด เช่น สีหน้า น้ำเสียง ถ้าเรากับเพื่อนมีปัญหาขัดแย้งกัน แล้ววันต่อมาเราคาดหวังว่าเราอาจจะทะเลาะกับคนคนนี้เพราะปัญหานี้ก็ได้ เวลาเราคุยกับเพื่อนคนนี้เราอาจจะแสดงสีหน้า บึ้งตึง น้ำเสียงกระชาก จนเป็นการสร้างความโมโหให้อีกฝ่าย และต้องทะเลาะกันจริง ๆ จากที่เล่ามาแล้ว คงเห็นถึงความสำคัญของความหวังขึ้นมาบ้าง แต่อย่างไรก็ตามถึงความหวังนั้นมีผลต่อสิ่งภายนอกจริง ๆ แต่แค่ส่งผล ไม่ได้ดลบันดาลให้มันเป็นจริงไปตามทุกอย่างที่เราหวัง เพราะที่มันเป็นจริงก็เกิดจากตัวเราที่พยายาม และคนอื่นที่รับรู้ถึงความพยายามของเราเสียส่วนใหญ่ ความหวัง คงจะมีประโยชน์จริง ๆ ไม่ใช่แค่หวังเปล่า ๆ เพราะถ้าเราแค่หวัง เราก็จะพยายามทำอะไรให้สมหวังโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าเราพยายามอย่างรู้ตัวควบคู่ไปด้วย และพยายามอย่างถูกวิธี ก็เพิ่มความเป็นไปได้ว่าสิ่งที่เราหวังนั้นจะเป็นจริงได้ง่ายขึ้น และสิ่งที่ควรจะเตือนตัวเองไว้เสมอคือ ทุกอย่างมีโอกาสผิดพลาด มีความหวัง ย่อมคู่ไปกับความผิดหวัง ความผิดหวังไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่ ๆ แต่ถ้าเราสามารถยอมรับมันได้ และไม่ทุกข์กับมันจนเกินไป เราก็จะหวังอะไรต่าง ๆ ได้อย่างสบายใจขึ้น และที่สำคัญมาก ๆ คือ หวังในสิ่งที่ดีแล้วกัน สวัสดีครับทุกคน
สบายดีกันรึเปล่า ใกล้จะปีใหม่เข้าไปทุกทีๆ ขอให้เที่ยวกันสนุกๆนะครับ พูดถึงเรื่องหนุกๆ วันนี้พี่หมีไซโคล่า มีเกมสนุกๆมาให้ลองเล่นกัน นั่นก็คือ คือ คือ! เกม จ่ำจำจ๊ำ ! ทุกคนอาจสงสัยอะไร จ่ำจำจ๊ำ!? กติกาของเกม ก็คือ ให้”จำ”คำต่างๆที่ขึ้นบนจอทีวีนั่นเอง แต่ก่อนอื่นให้เตรียมกระดาษ 1 แผ่น และดินสอหรือปากกาวางไว้ที่บนโต๊ะ แล้วจับดินสอค้างไว้เพื่อเตรียมที่จะเขียนคำ แต่เดี๋ยวก่อน ที่ให้เขียนนั้นไม่ใช่ตอนที่กำลังดูคำศัพท์ในทีวีนะ (ไม่งั้นจะให้จำทำไมเล่า?) แต่ให้เตรียมไว้เขียนตอนที่มีคำสั่งบอกให้เขียนต่างหากล่ะ อืม…เตรียมครบแล้วใช่มั้ย ทีนี้ก็ให้คลิกดูวิดีโอที่เป็นทีวีข้างล่างนี้ และเมื่อมีคำสั่งพร้อมมีเสียงปี๊บเตือนบอกว่า “คำศัพท์หมดแล้ว ให้เขียนคำที่นึกออกได้บนกระดาษ” ก็ให้รีบเขียนคำที่ตัวเองนึกได้ และหยุดเขียนเมื่อมีเสียงปี๊บเตือนอีกครั้ง แล้วทำตามคำสั่งที่จะขึ้นบนทีวีต่อไปนะ เอาละ เข้าใจแล้วนะ? พร้อมกันหรือยัง? ถ้าพร้อมแล้ว คลิกเริ่มเล่นเกมส์ข้างล่างเลย !!! (ใช้เวลาเล่นประมาณ 3 นาที) คลิกดูวิดีโอเกมความจำ http://video.mthai.com/general/player/1199046372.html วันนี้มีวิดีโอมาให้ดูอีกแล้ว ดูก่อนแล้วค่อยอ่านข้างล่างนะครับ
ดูที่นี่ http://video.mthai.com/joke/player/1200643848.html เป็นไงครับน้องๆ วิดีโอที่พี่หมีเอามาให้ดู ฮาดีมั้ยล่ะ? ว่างๆก็ไปทดลองเล่นกับเพื่อนที่โรงเรียนได้นะครับ แต่ถ้าเพื่อนมันสงสัยว่า เฮ้ย! เป็นไปได้ยังไง? น้องก็ลองอ่านคำอธิบายข้างล่าง แล้วเอาไปบอกได้เลย ครับผม ก่อนอื่นก็อยากให้น้องๆลองหันไปรอบๆตัวดูสิครับ ….(หันดูสิ)…..จะเห็นว่ารอบตัวน้องๆเนี่ย มีอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมดเลย ซึ่งเราไม่สามารถที่จะใส่ใจกับทุกสิ่งได้ครบหรอกครับ เพราะ ถ้าใส่ใจกับทุกอย่างมันจะทำให้เราคิดและทำสิ่งต่างๆได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น จริงป่ะล่ะ? กระบวนการทางจิตของเราก็เลยเลือกเอาเฉพาะสิ่งที่เราสนใจเท่านั้น แต่บางทีก็ทำให้ข้อมูลมันตกหล่นได้ ยกตัวอย่างเช่น เกิดการตกหล่นของภาพที่เรามอง จึงทำให้ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งแบบนี้นักจิตวิทยาเรียกกันว่า ปรากฏการณ์ Change Blindness (มองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง) อยากรู้ไหมว่าเกิดขึ้นได้ยังไง? จะอธิบายแบบให้เห็นเป็นภาพละกันนะครับ ลองจินตนาการว่าน้องมีตะกร้าใบใหญ่ใบหนึ่งเปรียบเสมือนเป็นตะกร้าเก็บความจำภาพระยะสั้น (Short-term visual storage) แล้วก็มีอุปกรณ์เล่นกีฬาอยู่หลายแบบ เช่น ลูกฟุตบอล ลูกวอลเล่ย์บอล ลูกเทนนิส ลูกบาส ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นข้อมูลภาพแบบต่างๆ สมมติน้องชอบเล่นวอลเลย์บอล น้องก็จะใส่ใจกับมันเป็นพิเศษ แล้วน้องก็โยนมันลงไปในตะกร้า ซุบ! ลงตะกร้าพอดีเลย! แต่พวกลูกกลมๆอื่นๆ น้องก็โยนแบบอย่างงั้นแหละ ไม่ค่อยใส่ใจ บางลูกก็อาจจะกระเด้งออกจากตะกร้าและตกหล่นหายไปบ้าง แล้วทีนี้พอคุณครูให้โชว์ว่าเก็บลูกอะไรได้บ้าง แล้วเอามาเทียบกับคุณครู ซึ่งตรงนี้เปรียบเสมือนสิ่งต่างๆหรือมีเหตุการณ์ต่างๆที่มันเปลี่ยนแปลงไป เอาล่ะสิ น้องๆก็ไม่มีลูกบอลแบบอื่นๆเอาไว้เทียบกับคุณครู ก็เลยไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรแบบไหน งงไปหมด เพราะ ข้อมูลภาพอื่นๆและรายละเอียดต่างๆมันก็ตกหล่นหายไปจาก Short term visual storage ไปซะแล้ว อยากรู้ไหมว่ารายการทีวีนี้เอามาจากการวิจัยอะไร? ครับผม รายการทีวีที่ให้ดูไป เขาดัดแปลงมาจากการทดลองที่เริ่มโดยคุณพี่ Simons และคุณพี่ Levin (ในปี ค.ศ.1998) คุณพี่เขาได้ออกแบบการทดลองเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องการรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของใบหน้า ซึ่งมันก็เกิดเจ้าปรากฏการณ์ Change Blindness นี้เช่นกัน สุดท้ายนี้ น้องๆลองคิดต่อดูสิครับว่าจะเอาไปเล่นกับเพื่อนๆแบบไหนดี ลองคิดวิธีแล้วโพสต์ comment ให้พี่หมีรู้หน่อยสิครับ ฮาฮาฮ่า |
Archives
February 2016
Categories |