โรคซึมเศร้าคืออะไร อาการเป็นยังไง เรามีโอกาสเป็นซึมเศร้าไหม เพื่อนที่ดูซึมๆ เขาเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า ถ้าเพื่อนเป็นโรคซึมเศร้าเราจะอยู่กับเขาได้ยังไง แล้วมันเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายหรือเปล่า
ดูที่นี่ https://youtu.be/_ilcrEZ-r64 วิทยากรคือ ครูเปิ้ล สุดารัตน์ ศรีสุรกานต์ ครูสอนการแสดงที่จบการศึกษาด้านจิตเวชจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอขอบคุณคลิปจากรายการโลกไปไกลแล้ว by Pla
เมื่อคุณต้องเจอกับสถานการณ์ที่แสนจะลำบากใจ ไม่ว่าจะเกิดจากเพื่อนรักยืมเงิน ถูกเกลี้ยกล่อม ถูกชักชวน ตกเป็นเครื่องมือของใครบางคน หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ นอกจากนี้แล้ว….ก็ยังมีเหตุการณ์อีกร้อยแปดพันเก้าที่ทำให้คุณต้องประสาทเสีย คุณจัดการกับเหตุการณ์เหล่านี้อย่างไร ปล่อยมันไปเรื่อยๆ..ยอมรับชะตากรรมของตัวเอง…ลุกขึ้นสู้…หรือถอยหนี คุณกล้าที่จะพูดคำว่า ” ไม่ ” หรือเปล่า?? ( ตอนนี้อาจจะมีคนตอบว่า…ไม่!!!!…ก็ได้ ) บางครั้งคุณอาจจะรู้สึกว่าการที่คุณไม่กล้าพูดคำว่า ” ไม่ ” อาจจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกำลังถูกหลอกใช้ หรือถ้าหากคุณไม่รู้จักการปฏิเสธอย่างแยบยลและแนบเนียน ตัวคุณเองก็อาจต้องเสียสัมพันธภาพไป อาจจะบาดหมางใจกันกับพี่น้อง เพื่อนฝูง และบางครั้งมันก็อาจจะเป็นเหตุทำให้คุณไม่บรรลุเป้าหมายของตัวเอง หรือกระทั่งไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตตามที่คุณตั้งใจไว้ก็ได้ ถ้าคุณกำลังมีปัญหาอยู่ในขณะนี้แล้วล่ะก็ เราอาจช่วยคุณได้ …ลองเข้ามาใกล้ๆสิคะ เทคนิคในการปฏิเสธนั้นมีมากมายหลายแบบ ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณ๊ แต่ละคน แต่ละเหตุการณ์ หยิบไปลองใช้กันดูก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน !!!
By Pla
ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ เลยว่าถ้าฉันเป็นอัจฉริยะแล้วชีวิตฉันจะดีกว่านี้มั้ย มีคนบอกว่าคนเราอย่างน้อยจะฉลาดด้านใดด้านหนึ่ง ( หมายถึงคนปกติทั่วๆไปนะ ) บางคนก็มีสองหรือสามด้าน โดยทั่วๆไปก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการรับ การใช้ ( แต่ไม่ใช่การรับใช้นะ ) แล้วก็การจดจำข้อมูล คุณ ดร.โธมัส อาร์มสตรอง ( ใครรู้จักช่วยบอกฉันทีนะ ) ได้จำแนกความสามารถทางสติปัญญาด้านต่าง ๆ ไว้หลายด้านด้วยกัน คุณจะลองดูมั้ยล่ะ ว่าคุณมีความสามารถด้านไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า ฉันก็อยากรู้เหมือนกันล่ะว่าฉันจะเป็นอัจฉริยะกับเค้าได้มั้ย
ว่าแต่คุณเถอะถนัดด้านไหนล่ะ อาจจะไม่ถึงกับเป็นอัจฉริยะแต่ถ้าคุณรู้ว่าคุณควรเรียนอย่างไร ก็จะเป็นประโยชน์เมื่อคุณต้องสร้างทักษะ คุณอาจจะเรียนรู้ได้ดีโดยการฟังมากกว่าการอ่าน อาจจะเรียนรู้ได้ดีเมื่ออยู่คนเดียวมากกว่าเมื่อต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนอื่น แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าตอนนี้คุณจำเป็นต้องเลือกสาขาใดสาขาหนึ่ง หรือวิชาใดวิชาหนึ่ง ก็ขอให้คุณเลือกให้เหมาะกับรูปแบบการเรียนรู้ของคุณก็แล้วกัน… By NusNus
คำว่า “หัวใจ” หรือ “จิตใจ” เป็นคำที่ผู้เขียนเองคิดว่าคนทั่วไปใช้บ่อยคำหนึ่ง หรืออาจจะเป็นเพราะผู้เขียนเรียนคณะจิตวิทยาก็ไม่ทราบ แต่อย่างไรก็ตามจากการสังเกตทั่ว ๆ ไป เช่นจากเนื้อเพลง จากงานศิลปะ จากศาสนา คำว่าหัวใจหรือจิตใจต่างก็เป็นสิ่งที่พูดถึงกันโดยทั่วไป หัวใจหรือจิตใจ ณ ที่นี้ไม่ได้หมายถึงอวัยวะของร่างกายที่คอยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ๆ แต่จิตใจหมายถึงจิตใจแบบที่เป็นนามธรรม สิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึก รัก เกลียด ดีใจ เสียใจ ต่าง ๆ หรือตามคำในลักษณะว่า คนไม่มีหัวใจ คนนี้จิตใจงาม หัวใจบอกให้ทำ รักจากใจ อะไรทำนองนั้น จิตใจตามความหมายของจิตวิทยาจะว่าแตกต่างก็แตกต่างจากจิตใจตามความหมายของบุคคลทั่วไป โดยความหมายของจิตวิทยา จิตใจหมายถึงสิ่งที่ควบคุมพฤติกรรมทั้งความคิด และการกระทำของมนุษย์ ในความหมายนี้กว้างกว่าความหมายของคนทั่วไป โดยผู้เขียนคิดว่าหากคนทั่วไปพูดถึงการกระทำที่เกี่ยวข้องกับจิตใจก็น่าจะหมายความถึงการกระทำหรือความคิดที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกลึกซึ้ง เช่น ความรัก ความเมตตา ในทำนองนี้เสียมากกว่า หากมีนักธุรกิจที่ทำให้คู่แข่งผู้เป็นเพื่อนล้มละลายเพื่อผลประโยชน์ การกระทำแบบนี้คนทั่วไปอาจจะเรียกว่าเป็นคนไม่มีหัวใจ แต่การกระทำอะไรก็ตาม จิตวิทยาก็ถือว่ามาจาก “จิต” ทั้งนั้น การยอมรับว่า “จิตใจ” มีอยู่ในโลกของปรัชญา และวิทยาศาสตร์ค่อนข้างยุ่งยากทีเดียว จิตใจจะว่ามองเห็นด้วยตาเปล่าก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง และก็อาจจะบอกว่ามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็อีกส่วนหนึ่ง ทางวิทยาศาสตร์นั้น คนเราเข้าใจมานานแล้วว่า ความนึกคิดต่าง ๆ และการสั่งการอวัยวะของร่างกายหลายส่วน มาจากสมอง เราจะเริ่มคิดหรือเริ่มทำอะไร ในกลไกที่เรารู้ตัว หรือแม้แต่บางกลไกที่เราไม่รู้ตัวก็มาจากการทำงานของสมองทั้งนั้น จะว่าจิตใจอยู่ที่สมองก็คงจะไม่ผิดอะไร แต่อย่างไรก็ตาม สมองเป็นเหมือนจิตใจในส่วนที่มองเห็น หรือจะให้เปรียบเทียบก็อาจจะเป็นเครื่องกล แต่ปัญหาคือกลไกการทำงานของจิตใจไม่เหมือนเครื่องกล แบบนาฬิกา หรือเครื่องซักผ้า ที่มีกลไกทางมอเตอร์ไฟฟ้า เฟือง ลาน ชัดเจน แต่สมองไม่ใช่ กลไกการทำงานของสมองแม้แต่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้ทั้งหมดว่าสมองส่วนไหนทำอะไรบ้าง และถึงจะรู้ก็ยังไม่รู้ถึงระบบการทำงานของมันอย่างชัดเจน จะให้บอกว่าเมื่อเราเดินไปเจอคน ๆ หนึ่ง แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดรู้สึกว่ารักคน ๆ นั้นขึ้นมา จะบอกว่าอะไรทำงานอย่างไร แล้วระบบที่ก่อให้เกิดความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งจะอธิบายให้ชัดเจนนั้นก็ยังทำไม่ได้เท่าไรนัก จิตใจที่มองไม่เห็นคือส่วนนี้ ถ้าจะให้ผู้เขียนเปรียบเทียบก็อาจจะเทียบว่าจิตใจที่มองเห็นคือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นวัตถุจับต้องได้ ส่วนจิตใจที่มองไม่เห็นก็คือโปรแกรม ต่างกันนิดหน่อยที่โปรแกรมของจิตใจนั้นยากที่จะเข้าใจว่าหน้าตาของมันเป็นอย่างไร ในตอนนี้ทั้งจิตวิทยา และสรีรวิทยาต่างก็กำลังขะมักเขม้นศึกษากลไกของสมองอยู่ ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าในอนาคตเราอาจจะรู้ถึงการทำงานของสมองได้ทั้งหมด ซึ่งก็หมายความว่าได้เข้าใจจิตใจไปเสียส่วนใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามสมองไม่ใช่ทุกอย่างของจิต เพราะจิตใจหรือสิ่งที่คอยควบคุมความคิดและการกระทำนั้นต่างถูกส่งผลโดยสิ่งอื่น ๆ มากมาย ยกตัวอย่างเช่น เราอารมณ์เสียได้โดยอากาศร้อน หรือความรู้สึกหิวก็มีผลบางส่วนมาจากกระเพาะลำไส้ ตอนนั่งเขียนบทความนี้ผู้เขียนนึกถึงจิตใจ ผู้เขียนก็ยังนึกถึงหัวใจที่อยู่ที่หน้าอก แล้วผู้เขียนก็นึกถึงคนอื่น หรือแม้แต่ดารานักร้องเวลาพูดถึงหัวใจก็มักจะใช้มือจับที่หน้าอกข้างซ้าย ผู้เขียนเองก็คิดว่าเพราะอะไร คนสมัยก่อนคิดว่าความรู้สึกมาจากหัวใจที่อยู่ที่หน้าอก ซึ่งก็ส่งอิทธิพลมายาวนานจนถึงตอนนี้ ผู้เขียนคิดเองว่าอาจเป็นเพราะเวลาเกิดความรู้สึกที่รุนแรงบางอย่างเช่น กลัว หรือแม้แต่รัก หัวใจมักจะเต้นแรง การเชื่อมโยงของความรู้สึกกับการเต้นของหัวใจทำให้คนคิดว่าที่มาของความรู้สึกมาจากหัวใจตรงนี้เอง จะเพราะความเคยชินหรืออย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเองก็คิดว่าถ้าพูดถึงจิตใจแล้วจับที่หน้าอกซ้าย ก็คงดูดีกว่าจับที่หัวเยอะ. วันๆหนึ่งคนเราต้องเจอะเจออะไรต่ออะไรตั้งมากมาย
มีทั้งเรื่องดี มีทั้งเรื่องร้าย.. ถามว่าเราจะเลือกได้ไหม ? ถ้าจะเลือกให้ไม่เจอเลย คงเป็นไปได้ยาก แต่สิ่งที่ทำได้คือ เลือกจัดการกับความคิด จัดการกับความรู้สึกของตัวเองจะง่ายกว่า จำไว้ว่า “มันอยู่ที่วิธีคิด ชีวิตถึงอยู่ได้” ใครๆก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น จะมีน้อย จะมีมากก็ต่างกันไป คนเราทุกคนบนโลกนี้ ต่างกันทั้งนั้น ไม่มีใครเหมือนกัน พี่น้องกัน พ่อแม่เดียวกัน ได้รับการเลี้ยงดูมาเหมือนกัน ยังไม่เหมือนกันเลย แม้แต่ฝาแฝดกัน ยังไง๊ ยังไง มันก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว มันอาจคล้าย แต่ที่สุดแล้วมันไม่เหมือน … ในเมื่อที่คนเราต่างกันด้วยอะไรหลายๆอย่าง รวมไปถึงความรู้สึกนึกคิดด้วยแล้วนั้น ฉันก็คือฉันวันยังค่ำ ในขณะที่เธอก้อคือเธอเช่นเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่กำลังจะบอกก้อคือว่า … ใช้ชีวิตทุกวันให้มีความสุข วันแต่ละวันมีความหมายในตัวมันเอง ชีวิตหนึ่งมีโอกาสได้เจอวันแต่ละวันครั้งเดียวเท่านั้นแหละ อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งดีๆ เก็บสะสมมันไว้ ให้เป็นกำลังสำหรับวันต่อๆไป ส่วนอะไรที่มันเลวร้าย ก็ปล่อยให้มันผ่านไป ให้รู้ไว้ว่านี่แหละ มันคือประสบการณ์ ถ้าวันนี้รู้สึกแย่ ลองเปลี่ยนวิธีคิดดูสิ คิดว่าวันนี้มันแย่ แย่ที่สุดในชีวิตไปเลย ทำไมนะเหรอ ? .. ก็เพราะว่าจากนี้ไปจะไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่านี้แล้ว เรื่องต่างๆที่จะเจอต่อไป มันแค่เรื่องเล็กน้อย มากกว่านี้ หนักหนากว่านี้เราก็ยังเคยผ่านมาได้สบายๆ |
Archives
February 2016
Categories |