เขียนโดย ครูเปิ้ล สุดารัตน์ ศรีสุรกานต์
ตอนเด็กๆเคยหกล้มมั้ยคะ เราโทษว่าพื้นไม่เรียบ..หรือโทษตัวเองว่าเดินไม่ดี เราโทษใคร? โตมาเคยสอบตก หรือคะเเนนไม่ดีมั้ยคะ เราโทษว่าข้อสอบยาก...หรือเราตอบไม่ตรงจุดได้คะเเนนเอง เราโทษใคร? ต่อมาเคยตกงาน ทำงานพลาด ทำโปรเจคเจ๊ง บ้างมั้ยคะ? เราโทษว่าเจ้านายไม่ดี ทีมงานไม่เวิร์ค หรือเราไม่มีวิธีคิด..วิธีการที่จะพางานสำเร็จเอง.. เราโทษใคร? ในทางพฤติกรรมศาสตร์ ( Behavioural sciences ) 'ความคิด' กำหนด'พฤติกรรม' ถ้าเราคิดโทษว่าคนอื่นผิด..เท่ากับเราคิดว่าเรา..ดีอยู่เเล้ว ดังนั้น ถ้าเราคิดว่าเรา..ดีอยู่เเล้ว.. เท่ากับเราคิดว่าเรา..ไม่ต้องเปลี่ยนเเปลงปรับปรุงอะไร แท้จริงเเล้ว "ความก้าวหน้าในสิ่งใดก็ตาม..คือการเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีขึ้น" ชีวิตก็ไม่ต่างกัน ชีวิตจะก้าวหน้าไม่ได้ ถ้าชีวิตไม่เกิดการเปลี่ยนเเปลง ถ้าเราเดินหกล้ม แล้วบอกพื้นไม่ดี มันลื่น มันยื่น มันไม่เรียบ คนนั้นคนนี้ก็เคยสะดุด เราจะปรับพฤติกรรม มาตั้งใจเดินให้ดีกว่าเดิมมั้ย ? ก็ไม่ปรับ..จริงมั้ยคะ ^^ แต่ หากยอมรับว่าเราอาจมีจุดพลาดเอง เมื่อเราไม่คิดโทษใคร ยอมรับจากใจว่า'เรา'มีส่วนทำให้มันพลาด มันผิด เราจะเร่งเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนเเปลงตัวเองให้ดีขึ้น ด้วยตัวเอง จากนี้ เราจะไม่ใช่เเค่คนที่เดินได้ดีขึ้น การมองโลกก็ดีขึ้น งานก็ก้าวหน้า พัฒนาได้ดีขึ้น ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เช่นกัน ..................... ส่งงานล่าช้า.. โทษอะไรดีคะ? เราโทษว่าชีวิตมีเเต่เรื่องยุ่งจนไม่มีเวลา หรือตัวเราเองนั่นเเหละที่จัดสรรเวลาไม่ได้เอง คิดโทษคนอื่น ก็ยุ่ง เครียด ส่งงานช้าต่อไป คิดโทษตัวเอง ตัวเองก็จะตั้งใจหาวิธีการ จัดสรรเวลาใหม่ให้มีประสิทธิภาพ ลงตัว จากนี้ คิดโทษจุดไหน ดีกับชีวิตและใจเรากว่ากัน เรานั้น "เป็นผู้เลือกเอง" เขียนโดย ครูเปิ้ล สุดารัตน์ ศรีสุรกานต์ https://www.facebook.com/minddirector
"วินัย...เป็นพี่ของความสำเร็จ" การตัดสินใจประสบความสำเร็จ ไม่ได้ทำให้เราประสบความสำเร็จนะคะ แต่การ"ทำติดต่อกัน" ซ้ำๆ จนเป็น"นิสัยใหม่" ต่างหาก ที่ทำให้ประสบความสำเร็จ อยากผอม จะไม่ทานข้าวเย็น ถามว่าทำได้มั้ย...ยากมั้ย? ไม่ยากหรอกค่ะ บอกเลยเพราะมันเเค่ มื้อเดียว ใครก็ทำด้ายย คำถามคือ คุณทำได้กี่วันคะ ถ้าบอกว่าการผอมลง คือการไม่ทานข้าวเย็น"ติดต่อกัน3เดือน" ถามอีกทีสิคะ..ว่าทำได้มั้ย? ...เริ่มไม่เเน่ใจเเล้วใช่มั้ยคะ... อยากมีสุขภาพดี..เรารู้ว่าต้องแบ่งเวลามาออกกำลังกาย ถามว่าทำได้มั้ย..ยากมั้ย? ก็อาจจะยากสำหรับการเริ่มต้น แต่มันยังไม่ส่งผลให้คุณสุขภาพดีได้ ถ้าคุณออกกำลังกาย ...เเค่พรุ่งนี้เช้า..วันเดียว!!... ต้นปีที่สดใส...คุณมีเป้าหมาย...ใครก็มีเป้าหมาย เเต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณคว้าเป้าหมายไม่ได้ เพราะคุณ"ไม่ได้สร้างนิสัย" ของคนที่"เหมาะสม"จะครอบครองเป้าหมายนั้นเลย.. โปรดฟังอีกครั้ง คุณไม่ได้สร้างนิสัย ของคนที่"เหมาะสม"ที่จะครอบครองเป้าหมายนั้นเลย โอเค...เป้าหมายของเราอาจจะชัดเจนมาก เราบอกตัวเองชัดมากวากกก..ว่าอยากได้อะไร...อยากเป็นอะไร อยากไปไหน...ใช้เงินเท่าไหร่...อยากได้เมื่อไหร่... แต่พอ15วัน ผ่านไป กระดาษเเผ่นนั้น หายไปไหนเเล้วม่ายรู้ (เคยเป็นเหมือนกันค่ะ..เข้าใจดี ณ จุดนี้ ^^") อย่าหลงทางว่า "เเค่คุณคิด"คุณจะได้ "แค่คุณเชื่อ" คุณก็จะได้!!! จริงอยู่..ที่ความคิด และความเชื่อ มีพลังดึงดูดสิ่งที่ต้องการได้ เเต่คุณต้องจดจ่อกับมันอย่างสุดจิตสุดใจ สม่ำเสมอ ทุกค่ำเช้า เมื่อจดจ่อจน "ละใจ" จากสิ่งนี้ไม่ได้ คุณจะทำทุกวิถีทางให้ได้สิ่งที่คุณหวังไว้...อย่างไร้ข้ออ้าง เเละนั่น...ก็เป็นกุศโลบายที่ฉุดให้เรา"ต่อเนื่องกับเป้าหมาย"นั่นเอง ...................................................... คุณจะรับรัก คนที่มาคุยกับคุณเเค่2ครั้งก็ไป หรือคนที่คอยห่วงใย..ใส่ใจคุณทุกเช้าค่ำ..ต่อเนื่องครึ่งปีคะ? ...ถ้า2คนนั้น...ดีพอกัน...น่ารักพอกัน..คุณเองก็มีใจให้เค้าพอๆกัน ขนาดเป้าหมายของหัวใจ...ยังต้องมี"วินัย"มากำกับเลย เเล้วเป้าหมายชีวิตที่สำคัญยิ่งของคุณล่ะคะ "เก่งไม่กลัว กลัวไม่ต่อเนื่องค่ะ" เรื่อง : Canon in D, MUTH วันนี้พี่หมีรับเชิญคนเขียนมาใหม่ขอรับ ขอชวนเธอมาเล่นเกมสัญลักษณ์ เกมเชิงจิตวิทยา ที่เคยคิดแล้วเอามาเล่นกัน ไม่ใช่เกมจิตวิทยาหมู่…แน่นอน… กติกาก็ง่ายมาก อะหนึ่ง จิกเพื่อนมาล้อมวงกันซักไม่เกิน 10 คน ทำไมต้องไม่เกิน เพราะ ทุกคนจะได้เห็นหน้าและได้ยินเสียงที่พูด ทุกคนต้อง”ฟัง”กันและกัน อะสอง ให้ทุกคนคิดหาสัญลักษณ์ที่แทนตัวเองได้ดีที่สุดหนึ่งอย่าง เช่นพวก สิ่งของ สัตว์ พืช ทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลาย ประมาณนี้ อะสาม เขียนใส่กระดาษ ส่งให้ Group Leader ไม่ใช่ cheer leader…. Group Leader ก็หยิบมาทีละแผ่น อ่านให้คนในกลุ่มฟัง อะสี่ แล้วให้ทุกคนทายว่า อันนี้เป็นสัญลักษณ์ของใคร พอพูดครบทั้งวง รวมถึงคนที่เขียนด้วย ก็เฉลยซะว่าแต่ละคนทำไมถึงแทนตัวเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แค่นี้เอง (เกมนี้ยกเครดิตให้คุณเดียร์เป็นคนเริ่มคิด) เกมนี้ เล่นไปทำไม? อะหนึ่ง สอนให้รู้จักคิดและมองเข้าไปที่ตัวเองอย่างง่ายๆ อะสอง ฝึกให้มีทักษะการฟังโดยฟังผู้อื่นจริงๆ ไม่ใช่แค่ได้ยินเฉยๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะที่คนที่จะเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษา ควรจะมีที่ไม่ใช่แค่มีเฉยๆ แต่ต้องมีเยอะๆเลยล่ะว่างๆ ก็เอาไปเล่นดูสิ จะได้รู้ว่าเพื่อนๆ มองเรา และเรามองเพื่อนๆ ยังไงบ้าง อ้อ…คนที่เป็น Leader ควรมีทักษะการฟัง และก็สรุปสิ่งที่เพื่อนพูดมาให้เข้าใจได้พอสมควรนะจ้ะ แต่ไม่แนะนำให้เล่นกะเพื่อนสนิทนะ เดี๋ยวไม่หนุก เพราะรู้ไต๋กันอยู่ เสริมก่อนจากกันเกี่ยวกับจิตวิทยาปรึกษา จิตปรึก หรือจิตปึก หรือเรียกอย่างสั้นๆว่า จิตวิทยาการปรึกษา หรือเรียกว่า Counseling Psychology (อ่านว่า เค้าเซลลิ่ง นะจ้ะ) จิตปรึกต่างจากการแนะแนว (Guidance กายแด้นส์) เพราะ แนะแนวคือการแนะนำ แบบโช๊ะๆ ชี้นำไปเลย แต่การให้บริการปรึกษา คือ ให้คำปรึกษาโดยคนที่ให้บริการจะทำหน้าที่เหมือนเพื่อนร่วมเดินทางที่ไม่ชี้นำ การให้คำปรึกษาเนี่ยมีหลากหลายแนวทางให้เลือกใช้ผสมผสานกัน อย่างเช่น แนวคิดของคุณฟรอยด์ (Freudian) และก็มีแนวคิดที่เชื่อมั่นในความสามารถมนุษย์ว่าคนเราเนี่ยคิดแก้ปัญหาเองได้ (Humanism) นอกจากนี้ก็แนวคิดที่มองว่าคนที่มีปัญหาควรจะใช้เหตุผลและอารมณ์ที่มันใช่ที่มันถูกต้องต่อเหตุการณ์หนึ่งๆอย่างเหมาะสม เรียกว่า (Rational Emotive Behavior Therapy)ไปใช้บริการการปรึกษาเพื่ออะไร อะหนึ่ง เพื่อให้เธอสบายใจ ลดความเครียด โล่ง ปลอดโปร่งทั้งหัวสมองและอารมณ์ อย่างเช่น ตอนที่เธอมีปัญหา เธอก็จะได้จัดการกับอารมณ์แย่ๆเหล่านั้นให้ออกไปได้อย่างเหมาะสมและถูกวิธี อะสอง เพื่อให้เธอได้พัฒนาตนเองให้เป็นคนที่ดี จิตใจงอกงามเติบโตเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งยังไงยังงั้น ลองไปใช้บริการการปรึกษาแบบนี้ดูสิ บางทีปัญหาของเธอก็อาจเกินความสามารถของเพื่อนที่เธอขอคำปรึกษาอยู่ก็ได้นะ. เขียนโดย Mheechola
ช่วงดึกๆเนี่ย ในทีวีเขาอนุญาติให้มีการโฆษณาเหล้าได้ ที่ทำได้เพราะมีกฏหมายบอกว่า ถ้าบริษัทคุณจะโฆษณาเหล้า คุณจะต้องพูดถึงแต่สิ่งดีๆเพื่อสังคม นึกออกบ้างมั้ย เช่น แสงโสม “คนไทย ถ้าจะตั้งใจทำอะไร ก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก” ไฮเนเก้น ก็จะพูดถึงความสนุกกับเหล่าเพื่อนใหม่ และเหล้า เบียร์อื่นๆก็เป็นแนวนี้ จะเห็นว่ามันจะโฆษณาด้านดีๆของสังคมเท่านั้น ที่กฎหมายออกมาแบบนี้เพราะคงเห็นว่า บริษัทคุณขายเหล้ามอมเมา จึงต้องทำสิ่งดีๆชดเชยแก่สังคมบ้าง แต่หารู้ไม่ว่าการเอาสิ่งดีๆมารวมกับเหล้ากับเบียร์ซึ่งในสังคมก็เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดีเท่าไหร่ มันทำให้คนที่ดูโฆษณาเนี่ยรู้สึกว่าเหล้ามันดี เหล้ามันทำให้สังคมดีขึ้น คนคิดไปอย่างนั้นได้ยังไง!? ที่บอกว่าคนอาจคิดแบบนี้ก็เพราะว่า คนเราชอบเชื่อมโยงเรื่องหนึ่งให้เข้ากับเรื่องหนึ่ง ซึ่งบางทีมันอาจจะเกี่ยวหรือไม่ได้เกี่ยวกันเลย แต่ก็ดั๊นเอามาโยงได้ เช่น บางคนที่เรียนรด.มาจะเอาเสียงนกหวีดกับล้มตัวหมอบเข้าด้วยกัน เพราะครูฝึกจะเป่านกหวีด แล้วหลังเป่านกหวีดครูฝึกก็จะตะโกนสั่งให้หมอบ ใครไม่หมอบก็โดนทำโทษ ลองไปถามคนที่เรียนรด.ดูสิ ปี๊ด!ทีไรหมอบ!ทู๊กที แต่ก่อนที่จะเชื่อมมันเข้ากันได้นั้น คนจะต้องเห็นซ้ำๆหรือได้ยินซ้ำๆ บ๊อยบ่อย จนมันเกิดการเรียนรู้ขี้นมา (Learning) ก็เหมือนกับพวกโฆษณาเหล้าพวกเนี้ย เขาก็ฉายซ้ำๆ หลายๆครั้งต่อวัน คนก็เลยเห็นบ่อยๆ แล้วจะค่อยๆเรียนรู้ว่า เหล้ามันไปเชื่อมกับสิ่งที่ดี แต่มันไม่ใช่อ่ะกิ๊ฟ! มันไม่ใช่! เหล้ามันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีอะไรมากมายเลย แต่คนก็ดันคิดไปอย่างงั้น….เนี่ยแหละเทคนิคการโฆษณา ผมเลยคิดว่าที่กฏหมายออกมาบอกว่าให้บริษัทเหล้าต้องทำโฆษณาที่สร้างสรรค์สังคม ตรงนี้ ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยด้วยเหตุผลด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ รู้ทันโฆษณาไว้ก็น่าจะดี. ตอนนี้มีสินค้าอะไรต่อมิอะไรให้ซื้อเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าปัจจัยสี่ที่ขาดไม่ได้ สินค้าที่สร้างความบันเทิงความสนุกสนาน ไปจนถึงสินค้าที่ซื้อความฉลาด อย่างตอนดูทีวีหรือขึ้นรถไฟฟ้าก็จะเห็นคุณหนูดีที่เป็นพรีเซนเตอร์สินค้ายี่ห้อหนึ่งโดยมีคอนเซปส่งเสริมความสามารถทางสมองโดยการฝึกฝน และการดูแล (เช่นการกินผลิตภัณฑ์ที่ว่า) โดยสินค้าที่ว่าจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ช่างเหอะเพราะนี่คือคอลัมน์จิตวิทยาไม่ใช่เภสัช หรือการตลาด
“ความฉลาด” เกี่ยวกับจิตวิทยาอย่างแน่นอน เพราะความฉลาดก็มีผลต่อพฤติกรรม (ความคิด หรือการกระทำ) ของบุคคล ส่วนเรื่องที่ว่าฉลาดคืออะไรนั้นก็มีทฤษฎีที่อธิบายไว้หลากหลายมากมาย แต่เอาเป็นว่าฉลาดก็คือคิดหรือทำอะไรได้เก่ง หรือคำว่าฉลาดที่ทุก ๆ คนเข้าใจก็แล้วกัน ค่านิยมว่าคนควรจะฉลาดนั้นคงมีมานานแล้ว เพราะผู้เขียนคอลัมน์เองตั้งแต่เกิดมาก็ถูกครอบครัวส่งเสริมให้ลูก ๆ ฉลาดอย่างยิ่งยวด และคิดว่าคุณปู่ ย่า ตา ยาย ก็น่าจะส่งเสริมให้ลูก ๆ ตัวเองฉลาดเช่นกัน (ไม่เคยได้ยินว่าใคร ๆ อยากให้ลูกตัวเองโง่) ความฉลาดมีความสำคัญจริง ในแง่ของความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต สัตว์ที่ฉลาดก็น่าจะรู้วิธีหาอาหาร ล่าเหยื่อ หรือหลบหลีกอันตรายได้ดีกว่า ความฉลาดจึงเป็นคุณลักษณะที่เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ รวมถึงมนุษย์รู้สึกได้ว่ามีประโยชน์จริง ๆ นั่นแหละ แต่ควรจะฉลาดขนาดไหนนั้น ถ้าเป็นสัตว์จะเห็นภาพชัดคือ ถ้าตัวไหนไม่ฉลาดพอที่จะหาอาหาร หรือหนีศัตรูก็มักจะไม่ค่อยมีชีวิตรอด แต่มนุษย์นั้นต่างกัน คนเราเป็นสัตว์สังคมที่ค่อนข้างเหนียวแน่น เราอยู่อย่างไม่มีผู้ล่า และอาหารเราก็อุดมสมบูรณ์ตั้งแต่ป้าแจ่มหน้าปากซอย จนถึงร้านในพารากอน ความฉลาดที่จำเป็นที่คนเราจะมีชีวิตรอดน่าจะไม่ต้องมีมากขนาดนั้น แค่พอที่จะสื่อสารได้ ทำงานได้ หาเงินปัจจัยสี่ได้ก็อยู่รอดแล้ว พูดได้อย่างจริงจังว่าถ้าแค่เพื่อมีชีวิตรอด เราไม่ต้องฉลาดมาก เราก็อยู่ได้ แต่ปัญหาคือคนในสังคมชอบการเปรียบเทียบ ใคร ๆ ก็ไม่อยากน้อยหน้าใคร จะบอกว่า แกโง่กว่าฉัน มันก็ไม่น่าจะมีใครพอใจหรอก ใคร ๆ ก็อยากจะฉลาดมาก ๆ ทั้งนั้น ดูตัวอย่างจากค่าความฉลาดที่ใช้อย่างแพร่หลาย IQ (intelligence quotient) ก็คือค่าที่บอกว่าเราฉลาดกว่าคนทั่วไปขนาดไหน ถ้าจะให้พูดตรง ๆ คือถ้าอยู่คนเดียวก็ไม่น่าจะมีปัญหาว่าจะโง่หรือฉลาด เพราะยังไงก็คงไม่ฉลาดหรือโง่ไปกว่าใคร เราไม่ได้กลัวที่จะฉลาดน้อย แต่กลัวที่จะฉลาดน้อยกว่าคนอื่น เมื่อสามสี่เดือนก่อนได้ฟังสัมมนาวิชาการเรื่อง “ไขความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับจิตวิทยา” โดยหัวข้อส่วนหนึ่งคือ “อัจฉริยะควรสร้างเพียงไร” ซึ่ง ผ.ศ. พรรณระพี สุทธิวรรณ ได้มาถกกันว่า แม่ ๆ ทุกคนก็อยากให้ลูกๆของตนฉลาด และความฉลาดนั้นจำเป็นจริง ๆ หรือ? ซึ่ง ผ.ศ. พรรณระพี ก็ตอบได้อย่างน่าฟังว่า ที่พ่อแม่ต้องการให้ลูกฉลาด ก็เพราะว่าอยากให้ลูกเรียนเก่ง ๆ มีงานดี ๆ มีเงินดี ๆ ที่สุดแล้วก็เพื่อให้ลูกของตน“มีความสุข” นั่นเอง และที่ผ.ศ. พรรณระพี สรุปไว้อย่างพอใจผู้เขียนคอลัมน์คือ ความจริงก็ไม่ต้องทำให้ลูกฉลาดขนาดเป็นอัจฉริยะ แค่ทำอย่างไรให้ลูกมีความสุข น่าจะดีกว่า ถ้าลูกต้องทนตรากตรำเรียนแล้วไม่มีความสุขแล้ว จะอัจฉริยะไปทำไม ดังนั้นก็ลอกบทสรุปมาเลยแล้วกันว่า ฉลาดเท่าที่ทำให้มีความสุขแล้วกัน แต่ไม่ได้แปลว่าคนที่ฉลาดจนอัจฉริยะจะไม่มีความจำเป็น หรือจะฉลาดมากๆไปทำไม เพราะมีวิทยาการเทคโนโลยีมากมายที่ทำให้โลกพัฒนา คิดค้นมาจากบุคคลอัจฉริยะเช่น ทฤษฎีสัมพันธภาพพิเศษซึ่งคิดโดยไอน์สไตน์ หรือหลาย ๆ คนที่พูดได้เต็มปากว่าคนธรรมดา ๆ ไม่น่าคิดอะไรแบบนี้ได้ และก็ไม่ได้แปลว่าจะส่งเสริมให้คนไม่ฉลาด แต่ควรจะพยายามเท่าที่ความสามารถของตนเองจะทำได้และกัน จะให้บวกเลขไม่เอา คูณเลขไม่ไหว หารทศนิยมก็ฆ่ากันดีกว่า ก็เกินไป อย่าอยากฉลาดแค่ว่าต้องการฉลาดมากกว่าคนอื่นหรือฉลาดไปอวดใคร แต่ควรอยากจะฉลาดเพื่อที่จะใช้ความฉลาดให้เป็นประโยชน์ ฉลาดพอที่จะคิดค้นสูตรยาที่กินแล้วฉลาด ให้คนทั้งบ้านทั้งเมืองฉลาดเท่ากันหมดก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องมาคิดว่าใครจะฉลาดกว่าใครอีกต่อไป ลดหัวข้ออวดลูกตัวเองของพ่อ ๆ แม่ ๆ กับชาวบ้านได้อีกด้วย ปริ้นต์ไปให้พ่อแม่ดูสิจ้ะ |
Archives
February 2016
Categories |